วันที่ 1
กรุงเทพฯ - มัณฑะเลย์ - พินอูลวิน - นั่งรถม้าชมเมือง
10.00 น.
พร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ชั้น 4 ประตู 4 เคาท์เตอร์ F สายการบินบางกอกแอร์เวย์ Bangkok Airway (PG)
12.15 น.
ออกเดินทางสู่ เมืองมัณฑะเลย์ โดย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ เที่ยวบิน PG 709 (บริการอาหารบนเครื่อง)
**หมายเหตุ**
เนื่องจากตั๋วเครื่องบินของคณะ เป็นตั๋วกรุ๊ประบบ Random ไม่สามารถล็อคที่นั่งได้ ที่นั่งอาจจะไม่ติดกันและไม่สามารถเลือกช่วงที่นั่งบนเครื่องบินได้ในคณะ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขสายการบิน
13.40 น.
เดินทางถึง สนามบินมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นำท่าน เดินทางเข้าสู่เมืองพินอูลวิน (Pyin Oo Lwin) รถวิ่งไปบนถนนสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หรือที่เรียกกันในยุคสงครามว่า Burma Road มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือราว 60 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาฯ 2.30 ชั่วโมงก็มาถึงเมืองพินอูลวินหรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า “เมเมี๊ยว” (Maymyo) เมืองพักตากอากาศที่มีชื่อเสียงของประเทศพม่ามาตั้งแต่สมัยอาณานิคมอังกฤษ และที่แห่งนี้ท่านจะได้สัมผัสกับอากาศที่บริสุทธิ์ เย็นสบายตลอดทั้งปี
จากนั้นนำท่าน นั่งรถม้า ชมเมืองพินอูลวิน เพื่อเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก ย่านหอนาฬิกา Purcell Tower สัญลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองพินอูลวิน
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก
Royal Parkview ระดับ 3 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่ 2
ตลาดเช้าพินอูลวิน - วัดพระมหาอันตูกานตาร์ - ชมสวนพฤกษศาสตร์กันดอว์จี - มัณฑะเลย์ - อมรปุระ - สะพานไม้อูเบ็ง
07.00 น.
รับประทานอาหารเช้า ที่ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินเที่ยวชมตลาดเช้าที่ เมืองพินอูลวิน ให้ท่านจะได้สัมผัสวิถีชีวิตที่หลากหลายวัฒนธรรมที่รวมกันอยู่ในเมืองนี้ และเลือกซื้อและชมสินค้าซึ่งจำหน่ายทั้งของที่ระลึก งานฝีมือท้องถิ่น และสินค้าต่างๆ สำหรับนักท่องเที่ยว รวมถึงจำหน่ายพืชผักผลไม้ และของกิน ของใช้สำหรับชาวพม่าในท้องถิ่น
จากนั้นนำท่านนมัสการ วัดพระมหาอันตูกานตาร์ (Maha Ant Htoo Kan Thar Pagoda) ซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปที่คนไทยเรียกว่า “พระทันใจ” ซึ่งแกะสลักจากหินอ่อนทั้งองค์ ตามประวัติกล่าวว่า มีชาวจีนได้มาบูชาองค์พระทันใจไปไว้ที่ประเทศจีน ระหว่างการเดินทาง รถเกิดอุบัติเหตุ องค์พระตกจากรถ ไม่สามารถยกขึ้นรถไปได้อีกไม่ว่าจะใช้เครนช่วยยกก็ตาม สุดท้ายจึงต้องสร้างวัดบริเวณนี้เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปหยกขาวองค์นี้ พร้อมกับตั้งชื่อว่า “มหาอันตูกานตาร์” ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า “เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มหัศจรรย์ที่ให้ความร่ำรวย โชคดีแก่ผู้กราบไหว้” และเชื่อกันว่าเป็นพระรักชาติอีกด้วย
นำท่านชมความงดงามของพืชเมืองหนาวที่ สวนพฤกษศาสตร์กันดอว์จี (National Kandawkyi Botanical Garden) สวนแห่งนี้ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1915 ออกแบบให้เหมือนกับ สวนพฤกษศาสตร์หลวงเมืองคิว (Royal Botan Gardens) หรือสวนคิว (Kew Garden) ในประเทศอังกฤษ ภายในสวนแห่งนี้ประกอบด้วยสนามหญ้าสวนหย่อม สระน้ำขนาดใหญ่ และมีป่าธรรมชาติ เป็นองค์ประกอบภายในสวน นอกจากจะตกแต่งสวยงามแล้วยังมีการให้ความรู้ด้านพรรณพืชและการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีพื้นที่กว้างขวางถึง 2,700 ไร่ ภายในสวนพฤษศาสตร์มีการปลูกพืชพันธุ์พื้นเมืองกว่า 514 สายพันธุ์ ต้นไม้จากต่างประเทศ 74 สายพันธุ์ มีการปลูกไผ่กว่า 75 ชนิด กล้วยไม้พันธุ์พื้นเมืองกว่า 300 ชนิด นอกจากนั้นยังมีการปลูกดอกไม้อีกจำนวนหลากหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะดอกกุหลาบที่ถูกมาปลูกในสวนแห่งนี้กว่า 25 สายพันธุ์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและต้นไม้อย่างแท้จริง
ระหว่างทางกลับมัณฑะเลย์ แวะชม สวนกาแฟท้องถิ่นและชิมไวน์ท้องถิ่น ที่ทำจาก Strawberry,Grape,Pineapple,Cherry และ Jam ให้ท่านได้เลือกเป็นของฝาก
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
นำท่านเดินทางเข้าสู่ ตัวเมืองอมรปุระ (Amrapura) เมืองแห่งผู้เป็นอมตะซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นราชธานีเพียง 76 ปี ท่านจะได้ชมทัศนียภาพของเมืองสกาย ลุ่มแม่นํ้าอิระวดี เจดีย์จำนวนมากมายที่ตั้งเรียงรายอยู่บนภูเขา และริมฝั่งแม่นํ้า
ชม สะพานไม้อูเบ็ง สะพานไม้ที่ยาวที่สุดในโลกโดยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ชื่อว่าเสาอู เสาของสะพานใช้ไม้สักถึง1,208 ต้นซึ่งมีอายุกว่า 200 ปีทอดข้าม ทะเลสาบคองตามัน (Toungthamon) ไปสู่วัดจอกตอจีซึ่งมีเจดีย์ที่สร้างตามแบบวัดอนันดาแห่งพุกาม
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร เมนูพิเศษ!! กุ้งแม่น้ำเผา
ที่พัก
HOTEL YI LINK MANDALAY ระดับ 3 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่ 3
เข้าร่วมพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนี - พระราชวังมัณฑะเลย์ - พระราชวังไม้สักชเวนานจอง - วัดกุโสดอ - สกายน์ - เจดีย์นมนาง - ขึ้นเขาสกายน์ - เจดีย์เจดีย์เสวยอูปงยะฉิ่น - เจดีย์อูมินทงแส่ - กรุงเทพฯ
07.00 น.
รับประทานอาหารเช้า ที่ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่าน นมัสการพระมหามัยมุนี อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด 1 ใน 5 แห่งของพม่า ถือเป็นต้นแบบพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ทรงเครื่องกษัตริย์ที่ได้รับการขนานนามว่า “พระพุทธรูปทองคำเนื้อนิ่ม” ที่พระเจ้ากรุงยะไข่ทรงหล่อขึ้นที่เมืองธรรมวดี เมื่อปี พ.ศ. 689 สูง 12 ฟุต 7 นิ้ว หุ้มด้วยทองคำเปลวหนา 2 นิ้ว ทรงเครื่องประดับทองปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 9 ฟุต ในปี พ.ศ. 2327 พระเจ้าปดุงได้สร้างวัดมหามุนี หรือวัดยะไข่ (วัดอาระกัน หรือวัดพยาจี) เพื่อประดิษฐานพระมหามัยมุนี และในปี พ.ศ.2422 สมัยพระเจ้า สีปอ ก่อนจะเสียเมืองพม่าให้อังกฤษได้เกิดไฟไหม้วัดทองคำ จึงทำให้ทองคำเปลวที่ปิดพระละลายเก็บเนื้อทองได้นํ้าหนักถึง 700 บาท ต่อมาในปี พ.ศ.2426 ชาวพม่าได้เรี่ยไรเงินเพื่อบูรณะวัดขึ้นใหม่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมโดยสายการออกแบบของช่างชาวอิตาลีจึงนับได้ว่าเป็นวัดที่สร้างใหม่ที่สุดแต่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ที่สุดในเมืองพม่า โดยรอบ ๆ ระเบียงเจดีย์ยังมีโบราณวัตถุที่นำไปจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งกรุงแตกครั้งที่ 1 พร้อมทั้ง เชิญทุกท่านร่วมทำบุญบูรณวัดกุสินารา ซึ่งมีอายุหลายร้อยปีประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ สวยงามมากจากนั้นกลับโรงแรม
จากนั้นนำท่านเข้าชม พระราชวังมัณฑะเลย์ (Mandalay Palace) พระราชวังที่ส่วนใหญ่ก่อสร้างด้วยไม้สักที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชียในสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือ สงครามโลกครั้งที่ 2 วันที่ 20 มีนาคม 2488 เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรโดยกองทัพอังกฤษได้ทิ้งระเบิดจำนวนมากมายถล่มพระราชวังมัณฑะเลย์ของพม่าด้วยเหตุผลว่าพระราชวังนี้เป็นแหล่งซ่องสุมกำลังของกองทัพญี่ปุ่น ระราชวังมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นพระราชวังไม้สักก็ถูกไฟไหม้เผาราบเป็นหน้ากลองหลงเหลือก็แต่ป้อมปราการและคูนํ้ารอบพระราชวังที่ยังเป็นของดั่งเดิมอยู่ปัจจุปันพระราชวังที่เห็นอยู่เป็นพระราชวังที่รัฐบาลพม่าได้จำลองรูปแบบของพระราชวังของเก่าขึ้นมา
จากนั้นนำท่านไป พระราชวังไม้สักชเวนานจอง (Golden Palace Monastry) วังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง งดงามตามแบบศิลปะพม่าแท้ๆ วิจิตรตระการด้วยลวดลายแกะสลักประณีตอ่อนช้อย ทั้งหลังคา บานประตูและหน้าต่าง โดยเน้นรายละเอียดเกี่ยวกับพุทธประวัติและทศชาติของพระพุทธเจ้า สร้างโดยพระเจ้ามินดงในปี พ.ศ. 2400 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์ย้ายราชธานีจากอมรปุระมาอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์เพื่อเป็นตำหนักยามแปรพระราชฐาน แต่หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ พระเจ้าธีบอ หรือ สีป่อ พระโอรสก็ทรงยกวังนี้ถวายเป็นวัดถือได้ว่าเป็นงานฝีมือที่ประณีตของช่างหลวงชาวมัณฑะเลย์อย่างแท้จริง
นำท่านชม วัดกุโสดอ (Kuthodaw Pagoda) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 5 มีแผ่นศิลาจารึกพระไตรปิฎกทั้งหมด 84,000 พระธรรมขันธ์ และหนังสือกินเนสบุ๊คได้บันทึกไว้ว่า “หนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก”
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
เดินทางสู่ เมืองสกายน์ ศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนาที่สำคัญ ท่านจะได้ชมทัศนียภาพของเมืองสกายน์ ลุ่มแม่น้ำอิระวดี เจดีย์จำนวนมากมายที่ตั้งเรียงรายอยู่บนภูเขา และริมฝั่งแม่น้ำ สกายน์เป็นราชธานีได้เพียง 59 ปี ภายหลังเกิดการชิงอำนาจกัน สุดท้ายพระเจ้าโดะมินพญา ได้รับชัยชนะจึงย้านเมืองหลวงใหม่มาตั้งที่ปากแม่น้ำมิดแง ตรงที่บรรจบกับแม่น้ำอิรวดี จนเป็นที่ตั้งของเมืองอังวะในเวลาต่อมา
ชม เจดีย์กวงมูดอร์ หรือ วัดเจดีย์นมนาง สร้างโดยพระเจ้าต้าหลู่ เมื่อปี ค.ศ.1636 ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วหรือพระทันตธาตุที่ได้มาจากลังกา เจดีย์นี้เป็นเจดีย์ทรงโอคว่ำแบบสิงหล หรือเจดีย์ทรงลังกา มีตำนานเล่าว่าองค์ระฆังทรงกลมผ่าครึ่งซีกนี้ ได้ต้นแบบมาจากถัน พระชายาคนโปรดของพระเจ้าต้าหลู่ องค์เจดีย์มีความสูง 46 เมตร เส้นรอบวงวัดได้ 274 เมตร และใช้อิฐในการก่อสร้างมากถึง 10,126,552 ก้อน
จากนั้น ขึ้นเขาสกายน์ เป็นภูเขาขนาดกลาง เข้าชม จุดที่ 1 Umin Thonse` Pagoda or 30 Caves Pagoda เจดีย์อูมินทงแส่ ภายในมีพระพุทธรูป 45 องค์ประดิษฐานเรียงกันเป็นครึ่งวงกลม จุดที่ 2 นำท่านไปยัง เจดีย์เสวยอูปงยะฉิ่น หรือ ซูนอูพอนยาชิน (Sone Oo Pone Nya Shin Pagoda) บ้างก็เขียนว่า (Soon U Ponya Shin Pagoda) หากแปลกันตามภาษาพม่าแปลว่า เป็นวัดที่พระพุทธเจ้ามารับเสวยฉันภัตตาหารที่นี่ ซึ่งอยู่บนยอดเขา Nga-pha ของเขตสะกายที่มีความสูง 240 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ณ จุดนี้ มีจุดชมวิวที่คุณสามารถมองเห็นเจดีย์ต่างๆ ที่วางตัวอยู่ตามไหล่เขา มองเรื่อยไปจนสุด ถึงแม่น้ำอิระวดี เชิญถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกตามอัธยาศัย
สมควรเวลาเดินสู่ สนามบินมัณฑะเลย์
19.15 น.
ออกเดินทางกลับ กรุงเทพฯ โดย สายการบินบางกอกแอร์เวย์ เที่ยวบินที่ PG 714 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง)
21.40 น.
เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ