วันที่ 3
เมืองเชนไน - เมืองกาญจีปุรัม - เมืองมหาพลีปุรัม
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองกาญจีปุรัม (Kanchipuram) ระยะทาง 67 กิโลเมตร 1.30 ชั่วโมง) กาญจีปุรัม บ้างก็เรียก กาญจี Kanchi มีชื่อเสียงเลื่องลือเกี่ยวกับเทวสถานที่มีมากกว่า 1,000 แห่ง จนได้ชื่อว่า “นครพันวัด” เป็นหนึ่งในนครศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 7 แห่งของอินเดีย ซึ่งถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับสองรองจากเมืองพาราณสี กาญจีปุรัม ยังเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดทางภาคใต้ของอินเดีย เป็นเมืองศูนย์กลางการเรียนรู้ทั้งภาษาทมิฬ Tamil และภาษาเตลูกู Telugu เดิมเคยเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ของราชวงศ์ปัลลวะ Pallavas ในช่วงศตวรรษที่ 6-8 ซึ่งเป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด และเทวสถานจำนวนมากก็ได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยนี้ ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10-13 ปกครองโดยราชวงศ์โจฬะ Cholas และราชวงศ์วิชัยนคร Vijayanagara ในคริสต์ศตวรรษที่ 14-17 ตามลำดับ
นำท่านไปชม วิหารเอคัมปาเรสวารา (Ekambareswarar Temple) ซึ่งเป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองกาญจีปุรัม วิหารนี้สร้างขึ้นเพื่อไว้บูชาและอุทิศแด่เทพพระศิวะ ในอินเดียนั้นจะมีอยู่ 5 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และท้องฟ้า ซึ่งสถานที่แห่งนี้จัดเป็น 1 ใน 5 ธาตุสถาน เป็นตัวแทนของธาตุดิน ประดิษฐานอยู่ใน ณ ที่เมืองแห่งนี้
จากนั้น นำท่านเยี่ยมชมโบราณสถานสำคัญจากยุคปัลลวะที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองกาญจีปุรัม คือ เทวาลัยไกลาสนาถะ (Kailashnatha Temple) หมายถึงผู้เป็นใหญ่แห่งเขาไกรลาส หรือ นอกจากพระศิวะ ผู้สถิตอยู่ ณ จอมเขาไกรลาส ที่นี่มีภาพสลักเหล่าคณะ (Gana = คนแคระ บริวารพระศิวะ ชอบบรรเลงดนตรี หรือแสดงอาการรื่นเริง) ที่ดูละม้ายคล้ายกับรูปปูนปั้นคนแคระสมัยทวารวดีในไทย และลวดลายเหนือซุ้มเทวรูปก็คล้ายกับทับหลังรุ่นแรกๆ ของปราสาทขอม เทวาลัยไวกูณฐเปรุมาล Vaikuntha Perumal Temple ไวกูณฑ์ = วิมานที่ประทับ เปรุมาล เป็นพระนามหนึ่งของพระวิษณุเป็นไวษณพนิกาย ที่นี่เก่ามากๆ แต่ได้รับการดูแลโดยตรงจากรัฐบาลเป็นอย่างดี จุดเด่นของที่นี่คือระเบียงคดที่มีฐานเสาเป็นรูป “วยาล” สัตว์ผสมเป็นสิงห์หรือเสือมีเขารูปแกะสลักจากหินทั้งต้นติดต่อกับเพดาน
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
นำท่านเดินทางไปยัง เมืองมหาพลีปุรัม (Mahabalipuram) ตั้งอยู่ทางตะวันออกริมทะเล มหาพลีปุรัม หรืออีกชื่อหนึ่งว่ามามัลลปุรัม (Mamallapuram) เป็นเมืองท่าสมัยราชวงศ์ปัลลวะ ชื่อเมืองได้ชื่อมาจากตำนานในอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ “วามนาวตาร” ที่พระนารายณ์อวตารลงมาเกิดเป็นพราหมณ์เตี้ย เพื่อปราบอสูรชื่อมหาพลีที่รบชนะเหล่าเทพที่ฤๅษีทุรวาสสาปไว้ เพราะความไร้มารยาทของพระอินทร์ด้วย ได้แผ่นดินสวรรค์ไปครอง และความเดือดร้อนมากมายให้สามโลก นักบวชเตี้ยหรือวามนะเดินทางไปหาท้าวพลีที่เมืองขอแผ่นดินแค่ 3 ก้าวจากท้าวมหาพลีฤๅษีศุกราจารย์ ที่เรารู้จกกันว่า พระศุกร์ อาจารย์ของฝ่ายอสูร ทราบว่าพราหมณ์เตี้ยเป็นองค์นารายณ์จึงแปลงกายขนาดเล็กไปอุดรูหม้อน้ำ ทำให้น้ำไม่ออก พราหมณ์เตี้ยจึงเอาหญ้าคาจิ้มที่รูหม้อน้ำ ทำให้ฤๅษีตาบอดข้างหนึ่ง ท้าวมหาพลีก็กรวดน้ำรดมือพราหมณ์เตี้ย พราหมณ์เตี้ยก็กลายร่างเป็นองค์พระนารายณ์ร่างใหญ่ และเริ่มย่างสามก้าว (ตรีวิกรม) ก้าวแรกเหยียบบนโลก ก้าวต่อมาเหยียบบนสวรรค์ พระพรหมหลั่งน้ำทำการอภิเษกพระบาทพระผู้เป็นเจ้า ก้าวสุดท้าย พระนารายณ์ถามท้าวมหาพลีว่าวางที่ไหน ท้าวมหาพลีบอกให้วางที่หัวตัวเอง นักบวชเลยเอาพระบาทเหยียบบนหัวท้าวมหาพลี จมลงไปในดิน และให้ท้าวมหาพลีไปอยู่ครองเมืองบาดาล ชั้นที่มีความสวยงามเหมือนแดนสวรรค์ ในคัมภีร์ภาควัตปุราณะ จึงถือว่าท้าวพลีเป็นสาวกพระวิษณุ เป็นสัญลักษณ์ของการศิโรราบต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจ
นำท่านชม กลุ่มเทวาลัยชายหาด (Shore Temples) หรือ ราชสิงเหศวร ที่ตั้งอยู่บนริมชายหาดของอ่าวเบงกอล เดิมสันนิฐานว่ามีเทวาลัยของพระนารายณ์บรรทมสินธุ์อยู่ก่อน และมีการสร้างเทวาลัยพระศิวะเสริมเข้าไป เป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 8 ชมสถานมรดกโลก ปัญจปาณฑพรถะ (Pancha Pandava Ratha) หรือปราสาทหิน 5 พี่น้องตระกูลปาณฑพ ในมหากาพย์มหาภารตะ เหตุที่ได้ชื่อ รถะ เนื่องจากกลุ่มปราสาทหินนี้มีลักษณะคล้ายราชรถที่ใช้ชักลากอัญเชิญเทวรูปออกงานแห่แหนประจำปี
เดินทางถึง เมืองมามัลลปุรัม ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งโคโรมันเดล แวะชม ภาพแกะสลักอรชุนบำเพ็ญตบะ (Arjuna’s Penance) ที่หน้าผาหินธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่แกะสลักสมัยปัลลวะที่เนินเขากลางเมือง มีภาพสลักที่สันนิฐานกันเป็นสองนัย ว่าเป็นภาพ พระแม่คงคาเสด็จสู่โลกมนุษย์ The Descent of the Ganga หรือบ้างก็เรียกว่าอรชุนบำเพ็ญตบะ Arjuna’s Penance
นำท่านชม ก้อนเนยของพระกฤษณะ (Krishna’s Butterball) ที่เป็นก้อนหินธรรมชาติกลมใหญ่เหมือนลูกบอลขนาดยักษ์ ตั้งอยู่ริมเนินเขา เหมือนกำลังจะกลิ้งตกลงมาคล้ายพระธาตุอินทร์แขวนในพม่า
ถัดมาอีกแวะชม คเณศรถะ Ganesh Ratha เทวาลัยทรงคล้าย “รถะ” หรือรถศึกที่ฝีมือการแกะสลักสมบูรณ์แบบ มีเทวรูปพระคเณศวร์ประดิษฐานภายใน และ ถ้ำวราหะมณฑป Varaha Mandapa Cave ทีมีภาพแกะสลักเรื่องราวของเทพฮินดูถึง 4 ปางได้แก่ วราหาวตาร (อวตารปางที่ 3 ของพระนารายณ์เป็นหมูป่ากู้แผ่นดินที่หิรัญยักษ์ม้วนซ่อนไว้ใต้บาดาล) ภาพคชลักษมี (ช้างสรงน้ำให้พระนางลักษมีเทวี) ภาพพระนางทุรคา และภาพพระวิษณุตรีวิกรม (อวตารปางที่ 5 ของพระวิษณุเป็นพราหมณ์เตี้ย ย่างสามขุม)
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร/โรงแรม
ที่พัก
CHARIOT BEACH RESORTS ระดับ 4 ดาว+ หรือเทียบเท่า
วันที่ 4
เมืองมหาพลีปุรัม - เมืองบุดุชเชรี่ - อาศรมศรี อรพินโท - เมืองตัญชาวูร์
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองบุดุชเชรี่ (Puducherry) (ระยะทางห่างประมาณ 100 กม.) เมืองบุดุชเชรี่ หรือมีชื่อเรียก พอนดิเชรี่ Pondicherry เรียกสั้นๆ ว่า “ปอนดี้” มีฉายาว่า “ฝรั่งเศสน้อย” เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองตากอากาศพอๆ กับเป็นที่ใฝ่ฝันถึงในฐานะเมืองฮันนีมูน ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองพอนดิเชอร์รี่ในปี 1673 ฟรองซัว มาร์ตินได้รับแต่งตั้งให้เป็น ผู้ปกครองตามสนธิสัญญาริสวิก (Ryswick) จนกระทั่งถึงปี 1742 เมื่อโจเซฟ ฟรองซัว ดูเปล็กซ์ เป็นผู้ปกครองของฝรั่งเศสอินเดีย เกิดสงครามระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษ สถานการณ์ในยุโรป และความทะเยอทะยานของดูเปล็กซ์ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างอังกฤษ-ฝรั่งเศสในอินเดีย ตลอดเวลา 70 ปี พอนดิเชอร์รี่ ดำรงอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของมหาอำนาจทั้งสองจนท้ายสุด พอนดิเชอร์รี่ตกเป็นของฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1814-1954 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียได้รับเอกราช แม้ฝรั่งเศสจะถอนตัวไปนานแล้ว แต่อิทธิพลฝรั่งเศสยังคงหลงเหลือมาจนปัจจุบันนี้ เช่น ชื่อถนน อาคาร สวน โรงแรม เครื่องแบบตำรวจจราจร เป็นต้น ก่อนเข้าเมืองปอนดี้ฯ
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
จากนั้นแวะเยี่ยมชม อาศรมศรี อรพินโท (Sri Aurobindo Ashram) ตั้งขึ้นในปีค.ศ.1926 ซึ่งทำให้เมืองชายทะเลแห่งนี้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ อาศรมนี้เป็นสถานที่ผสมผสานระหว่างจิตวิญญาณ โยคะ และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่ท่านศรีอรพินโทค้นคว้า จนกลายเป็นแนวทางโยคะที่เรียกว่า โยคะองค์รวม เป็นซึ่งเป็นที่นิยมในอินเดียและต่างประเทศ
จากนั้นพาท่านชม วัดพระหฤทัย (The Sacred Heart Church) ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1902 สถาปัตยกรรมแบบโกธิค ภายในโบสถ์ประดับกระจกสีแสดงรูปนักบุญ 28 องค์ ราชนิวาส Raj Nivas คฤหาสน์ของผู้ปกครองในสมัยเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส ตกแต่งดุจพระราชวัง หรูหรา และสวนสวยแบบฝรั่งเศส ปัจจุบันเป็นที่พักของผู้ว่าราชการแห่งพอนดิเชอร์รี่ และสวนสาธารณะภารตึ Bharati Park ที่สร้างตั้งแต่สมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ตรงข้ามราชนิวาส ตรงกลางมี มณฑปอายิ Aayi Mandapam ทรงพลับพลาแบบฝรั่งเศส
นำท่านออกเดินทางไป เมืองตัญชาวูร์ (Thanjavur) ระยะทางประมาณ 170 กม. (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม.) เมืองตัญชาวูร์ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเกาเวริซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่มีสาขามากมาย เป็นแหล่งกสิกรรมใหญ่ และเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของอินเดียใต้ ในอดีตเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโจฬะ (พุทธศตวรรษ 15-17) ซึ่งเป็นจักรวรรดิที่มีอำนาจทางทะเล โค่นล้มราชวงศ์ปัลลวะในกาญจีปุรัม และตีทะลวงไปถึงปากแม่น้ำคงคาในเบงกอล ชื่อเมือง มาจาก ยักษ์ตันชัญ ที่ถูกปราบโดยพระวิษณุ และพระนางลักษมี และยักษ์ตันชัญขอให้เอาชื่อตนเป็นชื่อเมืองก่อนเสียชีวิต
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร/โรงแรม
พร้อมชมการแสดง ภารตะนาฏยัม BharataNatayam ภารตะนาฏยัม กำเนิดในเมืองจิตัมพรัม ทมิฬนาฑู เชื่อกันว่าพระศิวะมหาเทพเสด็จลงมาแสดงการร่ายรำ 108 ท่าที่เมืองนี้ และพระนารทฤาษีได้จดบันทึกท่าร่ายรำนี้ไว้ให้แก่ชาวโลก เป็นนาฏศิลป์ที่ผู้ร่ายรำเป็นสตรีล้วน ใช้ฟ้อนรำบวงสรวงเทพเจ้า เป็นแม่บทการร่ายรำประเภทอื่นๆ รวมทั้งนาฏศิลป์ของไทย มุ่งเน้นการแสดงอารมณ์ต่างๆ 9 ประการ
ค่ำ
PARISUTHAM HOTEL ระดับ 4 ดาว+ หรือเทียบเท่า
วันที่ 5
เมืองตัญชาวูร์ - เมืองติรุชชิราปปัลลิ
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
นำท่านชม เทวาลัยพฤหธิศวร (Brihadeeswara Temple) ตั้งชื่อตามพระศิวลึงค์ประธานเทวาลัยโดดเด่นด้วยการออกแบบก่อสร้างที่สถาปนาขึ้นใหม่ทั้งหมดในสมัยราชราชา การออกแบบจึงสัมพันธ์กันอย่างดีเยี่ยม โดดเด่นที่สุดที่เทวาลัยประธานที่สูงถึง 67 เมตร สูงสุดในศิลปะอินเดียโบราณ จนมีชื่อเรียกว่า ทักษิณเมรุ หรือเขาพระสุเมรุแห่งภาคใต้ และวิมานหรือยอดหลังคาทรงสูงที่เชื่อว่าแกะสลักจากหินแกรนิตก้อนเดียว หนักถึง 80 ตัน และ พระพฤหธิศวร หรือศิวลึงค์ดำสนิทขนาดมหึมา สูงถึง 4 เมตรเป็นประธานในเทวาลัย
นำท่านออกเดินทางไปยัง เมืองติรุชชิราปปัลลี (Tiruchirappalli) ที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกระยะทางประมาณ 70 กม. เยี่ยมชม หอศิลป์ตัญชาวูร์ (Thanjavur Art Gallery) ในพระราชวังโบราณของนายกะ (อุปราชข้าหลวงของวิชัยนคร ยุดหลังอาณาจักรโจฬะ) ที่เก็บรวบรวมประติมากรรมโบราณสมัยโจฬะชิ้นเยี่ยมมากมาย
นำท่านชม เมืองติรุชชิราปปัลลี หรือ ตริชี่ (Trichy) ตั้งอยู่ใจกลางรัฐทมิฬนาฑู เป็นศูนย์กลางการคมนาคมเชื่อมโยงเมืองต่างๆ ในรัฐ และอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเกาเวริ ที่ไหลขนาบเกาะกลางแม่น้ำที่เป็นที่ตั้งของเมืองเก่าและเทวาลัย ชื่อเมืองได้มาจากชื่ออสูร “ตรีเศียร” ลูกของทศกัณฐ์ ตริชี่เจริญรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางการค้าในสมัยการปกครองของนาย กะวิศวนาถแห่งมธุไร ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 หลังจากราชวงศ์โจฬะเสื่อมอำนาจลง ชมศาสนธานีศรีรังคาม ซึ่งเป็นเทวาลัยสำคัญอันดับสองของไวษณพนิกาย หรือฝ่ายบูชาพระวิษณุ ศรีรังคามเป็นศาสนธานีขนาดใหญ่ที่สุดในอินเดีย มีกำแพงชั้นนอกกว้างยาว 945 x 775 เมตร มีกำแพงรวมทั้งหมดถึง 7 ชั้น โดยที่ชั้นที่ 7 ถึงแนวกำแพงชั้นที่ 4 เป็นบ้านพราหมณ์ ตลาด ร้านค้า เทวาลัยน้อยใหญ่ และที่พำนักของผู้แสวงบุญตำนานศรีรังคนาถมาจากมหากาพย์รามายาณะ ว่าภายหลังเสร็จศึกลงกา พระรามอภิเษกให้พิเภกกลับไปครองกรุงลงกา และได้ประทานเทวรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ (อินเดียใต้เรียกว่าศรีรังคนาถ) ไปสักการะแทนพระองค์ พิเภกนำเทวรูปทูลไว้เหนือเศียรเหาะไปกรุงลงกา ระหว่างทางผ่านแม่น้ำเกาเวริ จึงแวะลงพักผ่อนชาระร่างกาย พิเภกวางรูปปฏิมาไว้ริมฝั่งน้ำ เมื่ออาบน้ำเสร็จกลับยกเทวรูปไม่ขึ้น จึงต้องยอม “ตามพระทัย” พระนารายณ์ให้ประทับอยู่ริมฝั่งน้ำเกาเวริ ต่อมาพวกโจฬะพบเทวรูปนี้ จึงสร้างเป็นเทวสถานศรีรังคามถัดจากกำแพงชั้นที่ 4
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร/โรงแรม
บ่าย
นำท่านชม เทวาลัยศรีลังคนาถสวามี (Sri Ranganathaswamy Temple) ชมโคปัม หรือซุ้มประตูสูงใหญ่ถึง 72 เมตร ชมเทวาลัยเวณุโคปาล หรีอเทวาลัยพระกฤษณะ เทวาลัยศรีลังคนาชายาลักษมี มณฑปพันเสา มณฑปม้าศึก ทีมีภาพสลักต้นเสาหินเป็นประติมากรรมลอยตัวรูป ม้าศึกพร้อมนักรบบนหลังกำลังต่อสู้กับสัตว์ร้ายหรือข้าศึก ศิลปะสมัยวิชัยนคร ที่งดงามมาก ถัดมาในวงกำแพงชั้นที่ 3 ชม ครุฑมณฑป ตรงข้ามเทวาลัยประธาน มีมณฑปประดิษฐานรูปครุฑ พาหนะของพระวิษณุ สำหรับวงกำแพงชั้นที่ 2 เข้าไป เป็นเทวสถานพระนารายณ์ ประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์ เป็นประธาน คนที่ไม่ใช่ฮินดูไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในเขตนี้
จากนั้น นำท่านชม ร็อคฟอร์ท (Rock Fort) สูง 83 เมตร เป็นหินบะซอลท์ที่เชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดในโลก มีอายุ 3.8 ล้านปี อายุมากกว่าเทือกเขาหิมาลัย ท่านต้องเดินขึ้นบันได 344 ขั้น เพื่อ นมัสการ เทวาลัย Uchipillaiyar Koil ที่สร้างถวายแก่ เทพวินายกะ Lord Vinayaga ระหว่างทางขึ้นมีเทวาลัยพระศิวะ และวัดถ้ำปัลลวะ ด้านบนสุดของร็อคฟอร์ด สามารถมองเห็นเมือง ตริชี่ ได้โดยรอบ ด้านล่างของร็อคฟอร์ท เคยเป็นบ้านพักของ Robert Clive ผู้ที่อังกฤษแต่งตั้งให้มาดูแลบริษัทอีสต์อินเดีย
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร/โรงแรม
ที่พัก
SANGAM HOTEL ระดับ 4 ดาว+ หรือเทียบเท่า
วันที่ 6
เมืองติรุชชิราปปัลลิ - เมืองมธุไร
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
นำท่านเดินทางไปยัง เมืองมธุไร (Madurai) ที่ตั้งอยู่ทางด้านใต้ระยะทางห่างประมาณ 170 กม. (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม.) มธุไร เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของทมิฬนาฑู มีประวัติความเป็นมาย้อนหลังไปได้กว่า 2,000 ปี เคยเป็นราชธานีของราชวงศ์ปาณฑยะ ซึ่งครอบครองครึ่งล่างของอินเดียตอนใต้ ในขณะที่ราชวงศ์ปัลลวะมีอำนาจอยู่ตอนบน ต่อมาตกอยู่ใต้อำนาจของราชวงศ์โจฬะ แล้วถูกยึดครองโดยกองทัพมุสลิมที่รุกรานมาจากตอนเหนือ ต่อมาถูกยึดคืนมาได้โดยวิชัยนคร มธุไรถือว่าเป็นศาสนธานีแห่งหนึ่ง มีเทวาลัยมีนักษีสุนทเรศวรอยู่กลางเมือง ล้อมรอบด้วยตัวเมืองรูปจตุรัสเป็นชั้นๆ เมืองนี้มีฐานะเป็นป้อมปราการด้วย จึงมีกำแพงเมืองและคูน้ำล้อมรอบ ตำนานการสร้างเมืองมาจกชาวนาพบพระอินทร์กำลังสักการะ “สวยัมภูวลึงค์” หรือลึงค์ศิลาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ถือเป็นสัญลักษณ์ของศิวเทพ จึงนำความกราบทูลกษัตริย์แห่งราชวงศ์ปาณฑยะ พระองค์จึงสั่งให้สร้างเทวาลัยขึ้น มีพระสวยัมภูวลึงค์เป็นประธาน แล้วเกิดบ้านเมืองรายล้อมเทวาลัย พระศิวะจึงเสด็จมาประทานน้ำอมฤตอันหอมหวานจากมวยผม เมืองนี้จึงได้ชื่อว่า “มธุไร” อันมีความหมายว่าน้ำอมฤต (หวาน)
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
นำท่านเข้าชม พระราชวังติรุมไลนายกะ (Thirumalai Nayak Palace) ที่สร้างในสมัยที่มาดูไรถูกครองโดยนายกะ (อุปราช) มีห้องต่างๆ แบ่งเป็นสัดส่วน ประดับตกแต่งอย่างงดงาม ใหญ่โตโอ่โถง บางห้องมีเสาสูงกว่า 200 ต้น หัวเสาสลักเสลาอย่างงดงาม
นำท่านไปชม เทวาลัยมีนักษีสุนทเรศวร (Meenakshi Sundrareswarar Temple) ที่สร้างอุทิศให้กับตำนานรักของพระนางมีนักษีในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 ที่ว่าในสมัยราชวงศ์ปาณฑยะ มีกษัตริย์องค์หนึ่งไม่มีผู้สืบราชบัลลังก์ แต่มีพระธิดาผู้ทรงสิริโฉมงดงาม แต่นางกลับมีหน้าอกสามข้าง นางจึงตั้งใจบูชาพระศิวะอ้อนวอนขอให้มีลักษณะเช่นมนุษย์ปกติ พระศิวะจึงปรากฏพระองค์ประทานพรให้สมประสงค์ แล้วสมรสกับนาง ด้วยว่านางคือพระนางปารวตี (อุมา) แบ่งภาคมาเกิดในโลกมนุษย์ ในเทวาลัยแห่งนี้จึงปรากฏ ฉากแต่งงาน ระหว่างพระนางมีนักษี และพระศิวะ โดยมีพระพรหมทำหน้าที่พราหมณ์ในพิธี และพระนารายณ์ทำหน้าที่พี่ชายเจ้าสาว ให้เห็นทั่วไป ทั้งรูปปูนปั้นระบายสีบนโคปุรัม ภาพเขียนบนผนังระเบียง ภาพสลักหินที่เสามณฑปหน้าทางเข้าเทวสถานพระศิวะ เทวาลัยแห่งนี้มีโคปุรัมขนาดใหญ่ 4 แห่ง และขนาดลดหลั่นลงมาอีก 8 แห่ง โคปุรัมด้านทิศใต้มีขนาดใหญ่ที่สุดเกือบ 60 เมตร มีรูปปั้นบนโคปุรัมทั้งหมดกว่า 4,000 องค์ ภายในบริเวณ “มณฑปพันเสา” เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะ จัดแสดงวัตถุโบราณของเทวาลัย
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร/โรงแรม
ที่พัก
PANDYAN HOTEL ระดับ 4 ดาว+ หรือเทียบเท่า
วันที่ 7
เมืองมธุไร - เมืองเตกาฏิ - ล่องเรือทะเลสาบเปริยาร์
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
จากนั้นนำเดินออกทางไปยัง เมืองเตกาฏิ (Thekkady) ที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดเคราล่า ระยะทางห่างประมาณ 190 กม. (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม.) ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของเคราล่า เป็นสถานที่ตั้งของ อุทยานแห่งชาติเปริยาร์ (Periyar National Park) ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ได้รับการอนุรักษ์ มีพื้นที่กว้างใหญ่ประมาณ 925 ตร.กม.ที่ประกอบไปด้วยภูเขา แม่น้ำ ลำธาร และทะเลสาบ
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร/โรงแรม
บ่าย
ให้ท่านได้พักผ่อน โดยการล่องเรือชมความสวยงามของ ทะเลสาบเปริยาร์ (Periyar Lake Boat Trip) ที่เป็นแหล่งเก็บน้ำมีพื้นที่ประมาณ 26 ตารางกิโลเมตร ศูนย์อนุรักษ์เสือ มีพื้นที่ 925 ตารางกิโลเมตร มีทะเลสาบที่ขุดขึ้นสร้างในปี 1895 เพื่อกักเก็บน้ำเพื่อส่งไปหล่อเลี้ยงวัดในเมืองมธุไร ในรัฐทมิฬนาฑู อุทยานแห่งชาตินี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1934 โดยรัฐตัญชาวูร์ (สมัยโบราณ) และเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์อนุรักษ์เสือในปี 1973 ในอุทยานแห่งชาติเปริย่า มีพันธุ์ไม้กว่า 1965 รวมถึง พืชพันธุ์หญ้า 171 และดอกกล้วยไม้ 143 ชนิด ท่านจะได้พบสัตว์ที่จะออกมาดื่มน้ำ สัตว์ที่ได้เห็นบ่อยๆ คือหมูป่า กวาง นก เรือที่เรานั่งเป็นเรือสองชั้นเปิดโล่งมีหลังคา บ้างก็เป็นเรือแบบชั้นเดียว และมีเสื้อชูชีพที่ต้องใส่ตลอดเวลาที่อยู่บนเรือ เราจะใช้เวลาในการล่องเรือในที่นี้ 1 ชั่วโมง โดยประมาณ ท่านจะได้สัมผัสป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ พอกลับเข้าฝั่งเราก็ออกจากซาฟารีได้เห็นหมูป่าเดินข้ามถนนฝูงใหญ่อีกเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นอิสระให้ท่านได้พักผ่อนเลือกซื้อสินค้าพื้นเมืองฯ กันอย่างเต็มอิ่มจุใจ
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร/โรงแรม
ที่พัก
ELEPHANT COURT HOTEL ระดับ 4 ดาว+ หรือเทียบเท่า
วันที่ 8
เมืองเตกาฏิ - เมืองคอททายัม - เมืองอลัปปูซา
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
เดินทางผ่านยัง เมืองคอททายัม (Kottayam) ที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตก ระยะทางห่างประมาณ 105 กม. เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านการพาณิชย์ ศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศ และโดยเฉพาะพวกยาง
นำท่านเดินทางสู่ เมืองอลัปปูซา (Alappuzha) ระยะทางห่างประมาณ 160 กม. (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม.) เมืองอลัปปูซา หรือ อแลปปี้ Alleppy เป็นเมืองตากอากาศริมฝั่งทะเลอาระเบีย ที่มีชื่อเสียงในฐานะเมืองต้นทางท่องเที่ยวทางน้ำ Backwaters ที่นี่มีเรือล่องแม่น้ำที่ดัดแปลงจากเรือบรรทุกข้าว แบบเดียวกับเรือเอี้ยมจุ้นของไทย ให้เป็นเรือโรงแรม House Boat จำนวนกว่า 250 ลำ ให้บริการท่องเที่ยวล่องแม่น้ำหลายเส้นทาง ทั้งแบบไม่กี่ชั่วโมง จนถึงหลายวันหลายคืน
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
นำท่าน ลงเรือล่องแม่น้ำ (Backwaters) ชมสายน้ำแห่งชีวิตที่มีชื่อเสียงของ เคลาร่า เป็นเมืองแห่งคูคลองและสายน้ำ มีแม่น้ำสายเล็กสายน้อยเรียงร้อยต่อกันถึง 41 สาย สายน้ำเหล่านี้เชื่อมต่อกันกลายเป็นทะเลสาบใหญ่ 5 ทะเลสาบในชื่อเรียกขานกันว่า “Backwaters” ครอบคลุมพื้นที่ทั่วรัฐเกรละ (เคราล่า)ก่อนที่จะไหลสู่ทะเลอาระเบียน ในเรือจะมีกัปตัน ต้นหน และพ่อครัวไว้คอยให้บริการตลอดระยะทาง
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ บนเรือ
ที่พัก
BACKWATER HOUSEBOAT
วันที่ 9
เมืองอลัปปูซา - เมืองโคชิน -ฟ อร์ทโคชิน / การแสดงโชว์กฎักกะฬิ
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ บนเรือ
ให้ท่านชม ทิวทัศน์ยามอรุณรุ่ง ของสองฟากฝั่งของแม่น้ำลำคลองและทะเลสาบที่เชื่อมต่อกันเป็นผืนน้ำกว้างใหญ่ Backwaters แนวต้นมะพร้าว ทุ่งนา และหมู่บ้านเล็กๆ ตลอดระยะทาง
จากนั้นนำท่านเดินทางต่อไปจนถึง เมืองโคชิน (Cochin) ระยะทางประมาณ 50 กม. เป็นศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศโบราณในยุคอาณานิคมริมทะเลอาระเบีย เข้าพักที่โรงแรม
จากนั้นนำท่านไปยัง เกาะฟอร์ทโคชิน นำท่านชม โบสถ์คริสต์เซนต์ฟรังซิส (St.Francis Church) โบสถ์คริสต์แห่งแรกของอินเดียที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1503 โบสถ์แห่งนี้เก็บรักษาโบราณวัตถุหลายอย่างรวมทั้งของล้ำค่ารวมถึงโฉนดที่ดินที่จารึกลงในใบปาล์มที่มหาราชามอบให้แก่โปรตุเกสใน 1503 ชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่ยุคโคโลเนียล
นำท่านชม พระราชวังดัตช์ มาตันเชอรี่ (Mattancherry Dutch Palace) สร้างโดยโปรตุเกสใน 1555 และได้รับการปรับปรุงโดยดัตช์ในปี 1663 ในรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเคลาร่า ที่นี่เป็นที่เก็บรวบรวมสมบัติเก่าแก่ของมหาราชาในสมัยนั้น ในห้องภาพมีการแสดงจิตรกรรมฝาผนังโบราณของศตวรรษที่ 17 เป็นเรื่องราวของมหากาพย์รามายณะ ที่มีสีสันสดใส และเดินชม ย่าน "มาตันเชอร์รี่" ที่ มีร้านค้าของที่ระลึกรอต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมฟอร์ดโคชิน ศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศโบราณ ระหว่างจีน อินเดีย สุวรรณภูมิ และอาหรับ และยุโรป พัฒนามาจากหมู่บ้านชาวประมงของอาณาจักรโคชิน โดยชาวโปรตุเกส เมื่อวาสโกดา กามา เดินเรือมาถึงและก่อตั้งสถานีการค้าขึ้นที่นี่ในปี 1503 ต่อมาอาณานิคมนี้เปลี่ยนมือไปอยู่กับดัตซ์ และอังกฤษในที่สุด บนถนนหนทางของย่านการค้าภายในตัวเมืองโคชิน ที่เรียกขานกันว่า “Ernakulam” ถือว่าเป็นแผ่นดินใหญ่และเป็นย่านโรงแรมที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว มีทั้งโรงแรมขนาด 3 ดาว โรงแรมขนาดเล็ก และเกสต์เฮ้าส์อยู่ปะปนกัน เป็นย่านธุรกิจที่มีทั้งร้านค้า ธนาคาร บริษัทห้างร้าน และร้านอาหารให้เลือกมากมาย และเป็นแผ่นดินที่เชื่อมไปยังเกาะแก่งต่างๆ โดยมีท่าเรือเฟอร์รี่ ที่คนในท้องถิ่นเรียกว่า โบ๊ตเจตตี้ “Boat Jetty” ข้ามไปยังเกาะวิลลิงตัน เกาะไวปีน และ ฟอร์ทโคชิน
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
นำท่านเดินทางไปยัง ฟอร์ทโคชิน (Fort Cochin) ย่านเก่าแก่ของเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และถือเป็นประตูด่านแรกที่ชาวยุโรปเข้ามาถึงอินเดีย เคลาร่าเป็นรัฐที่มีแผ่นดินทอดยาวตลอดริมฝั่งทะเลอาระเบียน และโคชินในสมัยโบราณถือว่าเป็นศูนย์กลางของการค้าพริกไทยและเครื่องเทศ ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เข้ามาคือชาวโปรตุเกสที่ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ชมหลุมฝังศพของนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ชาวโปรตุเกส นามว่า วาสโกดากาม่า (ก่อนนำกลับไปฝั่งที่กรุงลิสบอน โปรตุเกส)
แวะชม หมู่บ้านชางประมง ที่ใช้เครื่องมือจับปลาโบราณ “ยกยอ” ที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีนและเป็นสัญลักษณ์ของรัฐเกลละ (เคราล่า)
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
พร้อมชมการแสดง อุปรากร กฏักกะฬิ Kathakali กฏักกะฬิ เป็นนาฏศิลป์พื้นเมืองที่มีชื่อเสียงของเคลาร่า ย้อนหลังไปได้ถึงศตวรรษที่ 2 แสดงเป็นเรื่องราวในตำนาน แบบที่เรียกกันว่า อุปรากร เหมือนโขนของไทย หรือ คาบูกิ ของญี่ปุ่น นำเรื่องราวจากมหากาพย์รามายณะ หรือมหาภารตะ การแสดงใช้ผู้ชายล้วน แต่งหน้าด้วยสีสันสดใส และสวยใส่อาภรณ์งดงามตระการตา เอกลักษณ์การรำเน้นที่การร่ายรำนิ้วมือ การแสดงออกทางสีหน้า และนัยน์ตา
ที่พัก
TRIDENT HOTEL ระดับ 4 ดาว+ หรือเทียบเท่า
วันที่ 10
เมืองโคชิน - ชุมชนชาวยิว - เมืองเชนไน
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
นำท่านชม ชุมชนชาวยิว หรือที่เรียกว่า “Jew town” ที่ตั้งขึ้นเมื่อพันกว่าปีที่ผ่านมา บริเวณนี้ยังคงคึกคักไปด้วยร้านรวงตลอดสองข้างทางถนนแคบๆ การค้าขายเครื่องเทศ และพริกไทยเกิดขึ้นที่บริเวณนี้ ทุกวันนี้ยังคงวุ่นวายไปด้วยผู้คนที่มาค้าขายแลกเปลี่ยนกันไม่ต่างจากอดีต
เยี่ยมชม โบสถ์ยิว (Pardesi Synagogue Jewtown) เชื่อกันว่าชาวยิวในเมืองฟอร์ทโคชินมาตั้งหลักแหล่งทำการค้าขายที่นี่ตั้งแต่สมัยของกษัตริย์โซโลมอน
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
ได้เวลาสมควร นำท่านเดินทางต่อไปยังสนามบินเพื่อทำการตรวจเอกสารในการเดินทาง
17.40 น.
“เหิรฟ้าสู่ เมืองเชนไน” โดย สายการบิน แอร์ อินเดีย เที่ยวบินที่ AI 510
18.50 น.
เดินทางถึง “ท่าอากาศยานเมืองเชนไน” ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร/โรงแรม
ได้เวลาอันสมควร หลังอาหารนำท่านออกเดินทางต่อไปยังสนามบินเพื่อทำการตรวจเอกสารในการเดินทาง เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ
วันที่ 11
เมืองเชนไน - กรุงเทพฯ
01.30 น.
“เหิรฟ้ากลับสู่ กรุงเทพฯ” โดย สายการบินไทย แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ TG 338
06.25 น.
เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิ์ภาพ