วันที่ 3
อิสตันบูล - ฮิปโปโดรม - สุเหร่าสีน้ำเงิน - อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาตัน - พระราชวังทอปกาปึ - เมืองอีเซียบัท - เมืองชานัคคาเล่
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม ฮิปโปโดรม (Hippodrome) จัตุรัสที่แต่เดิมในยุคโบราณถือเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองในยุคไบแซนเทียมและใช้เป็นลานกว้างสำหรับแข่งกีฬาขับรถม้า แต่ในปัจจุบันลานแข่งนี้ไม่ได้ถูกใช้งานเหมือนเช่นเดิมอีกแล้ว เหลือเพียงร่องรอยจากอดีตที่มีแค่ลานและเสาโบราณอีก 3 ต้น “เสาโอเบลิสก์แห่งกษัตริย์เธโอโดเชียส” (Theodosius Obelisk) เป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมฐานกว้างแล้วค่อยเรียวยาวขึ้นไปเป็นยอดแหลมเสาโบราณต้นที่ 2 เรียกกันทั่วไปว่า “เสางู” (Bronze Serpentine Coluumn) เป็นเสาบรอนซ์ที่แกะลวดลายเป็นรูปงู 3 ตัวพันเกี่ยวกันไปมา ได้รับการยอมรับว่าเป็นเสาแบบกรีกที่เก่าแก่ที่สุดที่มีเหลืออยู่ในอิสตันบูลทุกวันนี้ เคยถูกประดับอยู่ที่วิหารเมืองเดลฟี ประเทศกรีซ และถูกสร้างขึ้นเมื่อ 479 ปีก่อนคริสต์กาลในครั้งที่รบชนะเปอร์เซีย เสาที่ 3 มีชื่อว่า “เสาคอนสแตนติน” (Column of Constantine) สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1483 เมื่อครั้งเริ่มสร้างนั้นเป็นเสาบรอนซ์ แต่ในช่วงสงครามครูเสดได้ถูกศัตรูหลอมหลอกเอาบรอนซ์ไปจนหมด ปัจจุบันนักท่องเที่ยวที่เข้าไปชมจึงมีโอกาสได้เห็นเสาคอนสแตนตินหลงเหลือเป็นเพียงแค่เสาปูนเท่านั้น
เข้าชมภายใน สุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque) ปัจจุบันถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของอิสตันบูล เป็นมัสยิดที่ถูกสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เริ่มสร้างในปี พ.ศ. 2152 และสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2159 ภายนอกจะมองเห็นโดมสีฟ้าตั้งอยู่โดดเด่นอันเป็นที่มาของชื่อ “Blue Mosque” ส่วนภายในก็จะประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องอิซนิคตามผนังและกำแพงโดยรอบเป็นลวดลายต่างๆ และแน่นอนว่ากระเบื้องทั้งหมดนี้เป็นสีฟ้า และสีฟ้าทั้งข้างนอกข้างในของมัสยิดแห่งนี้ยังเข้ากันดีกับบรรยากาศของชายฝั่งทะเลที่อยู่ทางเบื้องหลังจากสุเหร่าสีน้ำเงินพาท่านเดินข้ามสวนสวยขนาดใหญ่
ไปถ่ายภาพบริเวณด้านหน้า สุเหร่าเซนต์โซเฟีย (Hagia Sophia) ที่ปัจจุบันถูกแปรสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ต่างจากของเดิมที่เคยเป็นทั้งวิหารในศาสนาคริสต์และสุเหร่าในศาสนาอิสลาม เริ่มแรกวิหารหลังนี้สร้างขึ้นโดย “จักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1” (Justinian I) แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ในช่วงปี 543 เป็นวิหารใหญ่ศูนย์กลางของศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์มานานนับพันปี จนมาถูกเปลี่ยนแปลงเป็นสุเหร่าเมื่ออาณาจักรออตโตมันได้เข้ายึดครองดินแดนอนาโตเลียแห่งนี้ในปี 1453 ภายในเราจะได้เห็นการสร้างและตกแต่งที่ผสมผสานศิลปะของสองศาสนาไว้ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดของพระเยซูและสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลามที่ดูเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ
นำท่านเข้าชม อุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาทัน (Yerebatan Sarnici) ที่สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนโดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็นที่เก็บกักน้ำสำรองไว้ใช้ในพระราชวัง และสำคัญมากสำหรับการสำรองน้ำไว้ใช้ในยามที่อาจเกิดศึกสงครามหรือมีศัตรูบุกเข้ามาล้อมเมือง เพราะจะมีท่อเป็นตัวส่งผ่านน้ำจากแหล่งธรรมชาติที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร และอุโมงค์สามารถกักน้ำไว้ได้มากถึง 80,000 ลูกบาศก์เมตร ส่วนตัวอุโมงค์จะมีความกว้าง 65 เมตร ยาว 143 เมตร หลังคาอุโมงค์ถูกรับน้ำหนักด้วยเสาค้ำต้นใหญ่ 336 ต้น จริงๆแล้วหากไม่รู้มาก่อนว่าที่นี่เป็นอุโมงค์เก็บน้ำก็จะดูคล้ายวิหารโบราณทั่วไป
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
เข้าชม พระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Sarayi) พระราชวังเก่าแก่และเป็นสถานที่ชื่อดังของอิสตันบูลอีกแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวจะต้องแวะชม และรับรองว่าจะไม่ผิดหวังในความสวยงาม ล้ำค่า และอลังการมาก พระราชวังทอปกาปึมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เพราะเคยใช้เป็นที่ประทับขององค์สุลต่านมายาวนานหลายองค์ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2021 โดยคำบัญชาของ “สุลต่านเมห์เมตที่ 2” แห่งอาณาจักรออตโตมัน หรือสมญานามที่ท่านได้รับคือ “สุลต่านเมห์เมตผู้พิชิต” ปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้โบราณของราชสำนักตุรกีที่น่าชมมาก จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน คือจะมีพื้นที่ของพระราชวังชั้นนอก พระราชวังชั้นใน และมีพื้นที่ที่เคยใช้เป็นฮาเร็มของสุลต่าน เมื่อย่างก้าวเข้าสู่พระราชวังจากชั้นนอกและชั้นในจะได้เห็นการตกแต่งพระราชวังที่วิจิตรอลังการอย่างมาก จุดที่น่าสนใจมากคือ ท้องพระคลังที่ใช้เป็นที่เก็บทรัพย์สมบัติมีค่าทั้งหลาย โดยเฉพาะ กริชแห่งทอปกาปิ (Topkapi Dagger) ที่งดงามตั้งแต่ส่วนของปลอกสวมที่ประดับด้วยอัญมณี ไข่มุกและทองคำ ส่วนบนด้ามกริชนั้นประดับด้วยมรกตงดงาม นอกเหนือจากความสวยงามของอัญมณีและเครื่องประดับทั้งหลาย นักท่องเที่ยวจะได้ชมเครื่องโลหะโบราณ เครื่องปั้นดินเผาและเครื่องกระเบื้องอีกมากมาย
นำท่านเดินทางสู่ เมืองอีเซียบัท (Eceabat) โดยรถโค้ช เมืองเล็กๆติดทะเล ระหว่างทางชมบรรยากาศชายฝั่งและเทือกเขาสูงของประเทศตุรกีที่สวยงามในทุกๆฤดูกาล
นำท่านขึ้นเรือข้ามฝากจากท่าเรือเมืองอีเซียบัทสู่ เมืองชานัคคาเล่ (Canakkale) (ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 45 นาที) ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลมาร์มาราและทะเลอีเจียน ในอดีตชานัคคาเลเคยเป็นศูนย์กลางการค้าและการเดินเรือ เพราะเป็นอีกจุดที่เชื่อมต่อเอเชียกับยุโรปเข้าด้วยกัน
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก
Idakale Hotel หรือระดับเดียวกัน
วันที่ 4
เมืองชานัคคาเล่ - ทรอย - ม้าไม้เมืองทรอย - อัซเคลปิออน - เมืองคูซาดาซึ
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ กรุงทรอย (Troy) เมืองเก่าแก่ในตำนานแห่งนี้หลังจากที่กลายเป็นอดีตมาหลายศตวรรษ ก็ได้ถูกค้นพบ พ.ศ. 2413 “ไฮน์ริช ชลีมานน์” (Heinrich Schliemann) นักโบราณคดีชาวเยอรมันได้เป็นผู้บุกเบิกขุดพบซากเมืองโบราณขึ้นซึ่งก็คือเมืองทรอยนี่เอง เป็นซากเมืองโบราณที่มีพื้นที่ติดกับทะเลอิเจียนตอนบน และอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตุรกี ใกล้กันมีช่องแคบ “ดาร์ดาแนลล์” (Dardanelles) และ “คาบสมุทรกัลลิโปลี” (Gallipoli) จากนั้นไฮน์ริชก็ใช้เวลา 20 ปีถัดมาในการขุดค้นเพิ่มเติมและศึกษาความเป็นมาของซากเมืองแห่งนี้ จนพบว่าทรอยนั้นแบ่งออกเป็น 9 ยุค นับตั้งแต่เมื่อ 3,000 ปีก่อนคริสต์กาล ไล่มาจนถึง พ.ศ. 943 และทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้โฮเมอร์สร้างสรรค์ผลงานการเขียนที่โด่งดังก้องโลกอย่างมหากาพย์อิเลียดและโอดิสซีย์
ชม ม้าไม้แห่งทรอย (Wooden Horse of Troy) หนึ่งในกลยุทธ์ทางการทหารที่ชาญฉลาด และเป็นเหตุให้เมืองทรอยพ่ายแพ้แก่กรีก จึงกลายเป็นเรื่องราวที่โจทย์จันท์และโด่งดังไปทั่วโลก และกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองทรอยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
นำท่านชม อัซเคลปิออน (Asklepion) ที่ในอดีตนั้นเคยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ ตัววิหารนั้นได้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อถวายแด่เทพอัซเคลปิออส เทพแห่งการรักษา ปัจจุบันเราจะยังได้เห็นร่องรอยความยิ่งใหญ่ในอดีตได้ นอกจากนี้ภายในอัซเคลปิออนยังเป็นที่ตั้งของ วิหารแดงคิซิลอัฟลู (KizilnAvlu) หรือ Red Basilica เพื่อถวายแด่เทพเซราพิสที่อลังการอีกด้วย
นำท่านเดินทางสู่ เมืองคูซาดาซึ (Kusadasi) เมืองท่องเที่ยวสวยๆ บรรยากาศดีริมทะเลอีเจี้ยน โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่จะกลายเป็นจุดหมายยอดนิยมอย่างมาก
จากนั้นนำท่านซื้อของฝากตามอัธยาศัยที่ ร้านขนม Turkish Delight ของฝากขึ้นชื่อของประเทศตุรกี
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ที่พัก
Royal Palace หรือระดับเดียวกัน
วันที่ 5
บ้านพระแม่มารี - เมืองโบราณเอฟิซุส - ร้านเสื้อหนัง - ปามุคคาเล่
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม บ้านพระแม่มารี (House of the Virgin Mary) ที่นี่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ทำให้อากาศเย็นสบาย และที่ต้องแวะมาที่นี่เพราะชาวคริสต์เชื่อกันว่า นี่คือสถานที่สุดท้ายที่พระแม่มารีประทับอยู่จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ และสิ่งที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นจากบ้านพระแม่มารีแห่งนี้ก็คือ วิหารอิฐหนาที่ภายในมีการประดับด้วยรูปเคารพของพระแม่มารี เล่ากันว่าครั้งแรกที่มีการค้นพบวิหารซึ่งเชื่อว่าเป็นบ้านของพระแม่มารีนี้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2317 โดยแม่ชีชาวเยอรมันนามว่า “แอน แคเทอรีน เอเมอริช” (Anne Catherine Emmerich) ได้นิมิตเห็นภาพบ้านหลังนี้ จึงได้เขียนบรรยายลงสมุดบันทึกไว้ หลังจากนั้นก็มีผู้ให้ความสนใจและพากันค้นหาบ้านหลังที่ว่านี้จนไปพบเมื่อ พ.ศ. 2434 และได้จัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการบูชาสักการะพระแม่มารีและพระเยซู ด้านหน้าของวิหารจะมีรางน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ภายหลังถูกสร้างเป็นก็อกน้ำ 3 ชุดที่สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะน้ำจาก 3 ก็อกนี้เชื่อกันว่าจะให้ความศักดิ์สิทธิ์ในด้านสุขภาพ ความรัก และความร่ำรวย นักท่องเที่ยวจึงมักมาแตะน้ำจากก็อกนี้แล้วประพรมให้ตัวเอง ใกล้กันมี กำแพงอธิษฐาน (Wishing wall) ที่เปิดโอกาสให้เข้ามาอธิษฐานขอพรแล้วเขียนลงบนผ้าชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาผูกไว้กับกำแพงนี้ ถือเป็นอีกสีสันและความสนุกของนักท่องเที่ยวอีกมุมหนึ่งของเมือง
เดินทางสู่ เมืองโบราณเอฟิซุส (Ephesus) ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองโบราณและเป็นเมืองหลวงแห่งเอเชียของอาณาจักรโรมัน เมืองเอฟิซุสถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ยุคก่อนคริสต์กาลเสียอีก และก็ดำเนินมาพร้อมกับยุครุ่งเรืองของชนชาติกรีก ตรงกับยุคโรมันสมัยของ “จักรพรรดิออกุสตุส ซีซาร์” (Augustus Caesar) เป็นศูนย์กลางทางการค้าการเงินของเอเซียตั้งแต่หลังจาก พ.ศ. 900 เป็นต้นมา ปัจจุบันนี้แม้จะผ่านมานานกว่า 2,000 ปีแล้วแต่เอฟิซุสก็ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นเมืองโบราณที่มีการบำรุงรักษาได้ดีที่สุดเมืองหนึ่งของโลก สิ่งที่มีให้เราได้ชมกันจึงเป็นความยิ่งใหญ่ของซากเมืองโบราณ โรงละครเก่าแก่ที่จุผู้ชมได้มากถึง 25,000 คน เทียบได้เป็น 1 ใน 10 ของประชากรในยุคนั้น แม้จะเริ่มกร่อนไปบ้างแต่เท่าที่เหลือก็ยังดูแข็งแกร่ง และในโอกาสพิเศษต่างๆ ก็อาจมีการจัดแสดงแสงสีเสียงบ้างในโรงละครแห่งนี้ บริเวณอื่นๆ ยังมีโรงอาบน้ำโบราณแบบตุรกีแท้ แท่นบูชาเทพเจ้า มี ห้องสมุดเซลซุสที่สร้างโดยกงสุล “ทิเบเรียส จูเลียส อควิลา” (Julius Aquila) เพื่ออุทิศแด่นายกเทศมนตรีซึ่งเป็นพ่อของท่านกงสุล และยังได้บรรจุศพของผู้เป็นพ่อไว้ใต้ห้องสมุดแห่งนี้ แต่มาถูกทำลายทั้งตัวอาคารและหนังสือจากข้าศึกศัตรู มีการประสบภัยจากแผ่นดินไหวบ้าง เสียหายไปมากแต่ก็ยังยืดหยัดเคียงคู่กาลเวลามาได้ไม่ห่างกันนักมี วิหารแห่งจักรพรรดิเฮเดรียน (Temple of Hadrian) ที่สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่จักรพรรดิเฮเดรียน ซึ่งพระองค์คืออีกหนึ่งจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ของโรมัน วิหารแห่งนี้เมื่อเทียบกับอายุแล้วต้องบอกว่ายังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์มาก และยังถูกออกแบบอย่างสวยงามโดยเฉพาะเสาโครินเธียนทั้ง 4 ต้นที่อยู่ทางด้านหน้าวิหาร โครงประตูหน้ามีจั่วหินโค้งแกะสลักลวดลายสวยงามน่ามอง
นำท่านช้อปปิ้ง ณ ศูนย์ผลิตเสื้อหนังคุณภาพสูงประเทศตุรกี ถือเป็นประเทศหนึ่งที่ขึ้นชื่อในด้านเครื่องหนัง และมีการผลิต ผลิตภัณฑ์จากหนังคุณภาพสูงออกมาได้อย่างดี ให้ท่านได้อิสระเลือกซื้อสินค้นเครื่องหนั่งกันได้ตามอัธยาศัย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กระเป๋า เสื้อโค้ช และอีกมากมาย
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
เดินทางสู่ เมืองปามุคคาเล (Pamukkale) ในอดีตปามุคคาเล่เคยเป็นที่ตั้งของนคร “เฮียราโปลิส” (Hierapolis) และที่ตั้งของลานหินปูนขนาดมหึมา
ชม ปราสาทปุยฝ้าย สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติเกิดขึ้นจากธารน้ำใต้ดินซึ่งมีส่วนประกอบของแคลซียมออกไซด์และมีอุณภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียสได้ไหลลงมาจากภูเขา “คาลดากิ” แล้วแร่ธาตุเกิดการตกตะกอนทำปฏิกิริยาจับตัวกันเป็นก้อนแข็งลดหลั่นเป็นชั้นเป็นแอ่งเป็นลานต่างกันไป แต่กลับกลายเป็นเหมือนประติมากรรมจากฝีมือธรรมชาติ สวยงามแปลกตาจนในที่สุดปามุคคาเลก็ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโกเมื่อในปี พ.ศ. 2531 คำว่า “ปามุคคาเล่ ในภาษาตุรกีนั้นหมายถึง “ปราสาทปุยฝ้าย” เพราะบางส่วนบางมุมของก้อนแคลเซียมก็มีรูปร่างคล้ายก้อนเมฆหรือก้อนหิมะตามแต่จะจินตนาการ ส่วนบางจุดก็จะเป็นแอ่งรองรับน้ำแร่อุณหภูมิประมาณ 35 องศาเซลเซียส ที่ชาวตุรกีนิยมนำไปอาบและดื่มกิน เพราะเชื่อว่าเป็นน้ำแร่ธรรมชาติที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคทางเดินปัสสาวะ โรคไตและโรคไขข้ออักเสบ
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ที่พัก
Richmond Thermal หรือระดับเดียวกัน
วันที่ 6
เมืองปามุคคาเล่ - เมืองคอนย่า - คาราวานสไลน์ - เมืองคัปปาโดเกีย - ชมระบำหน้าท้อง
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
เดินทางสู่ เมืองคอนย่า (Konya) เมืองที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้เมืองใดเพราะมีตำแหน่งเป็นถึงอดีตเมืองหลวงของอาณาจักรอนาโตเลียในอดีต เมืองคอนยาเจริญรุ่งเรืองมากในสมัย “สุลต่านอาเลดิน เคย์โคบาท” ความรุ่งเรืองนี้ทำให้เกิดการก่อสร้างอาคารและวิหารต่างๆ มากมาย และส่วนใหญ่สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ก็โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมของเปอร์เซียและไบแซนเทียมตามที่ได้รับอิทธิพลเข้ามาในเวลานั้น
ชม คาราวานสไลน์ (Caravanserai) ซึ่งเป็นจุดพักแรมของชาวเติร์กในสมัยออตโตมัน หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นโรงแรมข้างทางของคนเดินทางในยุคนั้น หากมองจากมุมสูงจะเห็นเป็นเหมือนรั้วกำแพงล้อมเป็นกรอบสี่เหลี่ยมอยู่กลางทุ่งกว้าง ตรงกลางของกรอบจะเป็นพื้นที่โล่งหรืออาจจะมีบ่อน้ำธรรมชาติ และมีส่วนที่เป็นหลังคาสามารถบังแดดฝนและลมหนาวได้ นักเดินทางที่มาพร้อมกองคาราวานม้าและอูฐมักแวะพักแรมในช่วงค่ำ จนรุ่งเช้าก็จะออกเดินทางต่อ
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
นำท่านเดินทางสู่ โรงงานเครื่องประดับ (Jewelly Factory) เพื่อให้ท่านได้ชมการสาธิตกรรมวิธีการผลิตสินค้าพื้นเมืองที่มีคุณภาพและชื่อเสียงโด่งอิสระให้ท่านเลือกซื้อได้ตามอัธยาศัย
เดินทางสู่ เมืองคัปปาโดเกีย (Cappadocia) เมืองมรดกโลกจากการการันตีโดยยูเนสโก และยังเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยความสวยงามของภูมิประเทศ เพราะตั้งอยู่ระหว่างทะเลและภูเขา ด้วยรูปลักษณ์ของคัปปาโดเกียที่ดูแปลกไม่เหมือนใคร ทำให้มีคำถามเกิดขึ้นเสมอว่า เหตุใดคัปปาโดเกียจึงมีลักษณะเช่นนี้ เพราะแม้แต่ผู้ที่ค้นพบคับปาโดเกียคนแรกอย่าง “ฮาลี คานาโซส” ก็ยังสงสัยในรูปทรงประหลาดของดินแดนแห่งนี้พื้นที่ที่เป็นคัปปาโดเกียอย่างที่เห็นทุกวันนี้เมื่อกว่า 3 ล้านปีก่อนหลังจากเกิดการระเบิดของภูเขาไฟอย่างรุนแรง ก็ได้ผลักดันลาวาออกมาเป็นจำนวนมาก และทับถมทั้งเถ้าถ่านหนาบางคละกันไปจนเกิดเป็นแผ่นดินใหม่ขึ้น จากนั้นก็ถูกแดด ฝน ลม หิมะกัดเซาะทีละเล็กละน้อย ระยะเวลา 3 ล้านปีธรรมชาติจึงสร้างสรรค์ความแปลกให้แก่โลกแบบคาดไม่ถึง คัปปาโดเกียจึงกลายเป็นเหมือนดินแดนพิศวงที่เต็มไปด้วยแท่งหินเป็นรูปทรงกระบอกบ้าง รูปกรวยคว่ำบ้าง บางชิ้นเป็นเหมือนปล่องหรือโดมสูงที่คนสามารถเข้าไปอยู่ด้านในได้ และมีอยู่มากมายเหมือนเป็นเมืองในเทพนิยาย จนชาวพื้นเมืองพากันเรียกคัปปาโดเกียในอีกชื่อหนึ่งว่า ปล่องไฟนางฟ้า (Fairy Chimney)
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม ระบำหน้าท้อง กิจกรรมที่ควรได้สัมผัสและอย่าพลาดให้ตัวเองต้องเสียดายในภายหลัง เพราะนี่คือกิจกรรมพิเศษที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์สำคัญของชาวตุรกีมาตั้งแต่อดีต และนักท่องเที่ยวก็มักรอคอยที่จะได้ชม โดยเฉพาะไฮไลท์ของการแสดงก็ต้องเป็น “ระบำหน้าท้อง” (Belly Dance) ที่ชวนตื่นตาตื่นใจและรู้สึกสนุกคึกคักไปกับผู้แสดงด้วย นักแสดงเหล่านี้ถือว่าเป็นยอดฝีมือ หากโชคดีกว่านั้นคุณจะไม่ได้เป็นแค่ผู้ชมแต่อาจถูกเชิญให้ขึ้นบนเวทีไปร่วมสนุกกับนักแสดงเหล่านี้ด้วยก็ได้ ฉะนั้นนอกจากจะสนุกแล้วก็ยังจะได้ประสบการณ์ดีๆ และความประทับใจกลับบ้านอีกด้วย
ที่พัก
Mustafa Hotel หรือระดับเดียวกัน
วันที่ 7
เมืองคัปปาโดเกีย - นครใต้ดินไคมัคลึ - พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ - โรงงานพรม - โรงงานเซรามิค - เมืองอังคาร่า
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
สำหรับท่านที่สนใจ นั่งบอลลูน พร้อมกัน ณ บริเวณล็อบบี้ โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทบอลลูนรอรับท่าน เพื่อนำท่านเปิดประสบการณ์ใหม่ที่ไม่ควรพลาด กับการนั่งบอลลูนชมวิวสวยๆ ของเมืองคัปปาโดเกียจากด้านบนพร้อมรับประกาศนียบัตรที่มอบให้กับทุกท่าน (ทัวร์นั่งบอลลูนนี้เป็นทัวร์พิเศษ ไม่ได้รวมอยู่ในค่าทัวร์ ค่าขึ้นบอลลูนประมาณท่านละ 250 ดอลล่าร์สหรัฐ กรุณาสอบถามหัวหน้าทัวร์)
นำท่านเข้าชม นครใต้ดินไคมัคลี (Underground City ofKaymakli) เมืองที่เกิดจากความพยายามในการลี้ภัยของชาวเมืองโดยการช่วยกันขุดเจาะโพรงใต้ดินลึกถึง หลายเมตร แล้วแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ ซึ่งก็กว้างขวางมากจนดูไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นด้วยแรงงานการขุดของมนุษย์ เพราะบางจุดนั้นมีความลึกลงไปในชั้นดินมากที่สุดถึง 85 เมตร และก็ไม่ได้แค่ขุดให้ลึกลงในดินเพื่อการหลีบภัยข้าศึกเท่านั้น แต่ยังได้แบ่งเป็นห้องต่างๆ จนครบทุกความสะดวกสบาย เช่น มีห้องโถง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัวห้องอาหาร โบสถ์ แต่สภาพอากาศด้านล่างนั้นยังเย็นสบายด้วยอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 17-18 องศาเซลเซียส สมกับที่เรียกกันว่าเป็นเมืองใต้ดินจริงๆ
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
นำท่านชม พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ (Goreme Open Air Museum) ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วง พ.ศ. 552 เพราะฉะนั้นที่นี่จะมีสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์อยู่มากกว่าเมืองอื่นๆ อย่างเช่น “โบสถ์เซนต์บาร์บารา” ที่ถือได้ว่าเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สร้างขึ้นในยุคแรกๆ ที่มีภาพเขียนแนวเฟรสโกโทนบนผนังและเพดานโบสถ์ แต่เพราะเสลาที่ยาวนานทำให้สีของภาพจืดจางลงไปมากแล้ว และ “โบสถ์แอปเปิล” ที่อยู่ใกล้กัน หากอยากเห็นภาพเขียนแนวเฟรสโกโทนที่สีสันจัดจ้านมากกว่าในโบสถ์เซนต์บาร์บาราก็ให้มาที่นี่ ซึ่งส่วนมากเป็นภาพที่แสดงถึงพระประวัติของพระเยซู และที่ได้ชื่อเรียกว่าโบสถ์แอปเปิลก็เพราะด้านหน้าของโบสถ์มีต้นแอปเปิลอยู่นั่นเอง รวมทั้งที่ “โบสถ์มังกร” หรือที่ชาวพื้นเมืองเรียกว่า “YilaniKilise” ก็จะมีความน่าสนใจอยู่ที่ภาพวาดการต่อสู้ของนักรบในยุคนั้น
ชม โรงงานทอพรม ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของประเทศตุรกี ที่มีลวดลายที่สวยและประณีต ให้ท่านได้อิสระเลือกซื้อสิ้นค้าและของที่ระลึกได้ตามอัธยาศัย
เดินทางสู่ เมืองอังคาร่า (Ankara) เมืองอังคาร่า เมืองหลวงของประเทศตุรกี และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากอิสตันบูล เป็นศูนย์กลางของทั้งคมนาคม เศรษฐกิจ และการศึกษาของประเทศอีกด้วย
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก
Royal Carine Hotel หรือระดับเดียวกัน
วันที่ 8
เมืองอังคาร่า - เมืองอิสตันบูล - พระราชวังโดลมาบาเช่
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นเดินทางสู่ เมืองอิสตันบูล (Istanbul)
เที่ยง
รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย
นำท่านเข้าชมภายใน พระราชวังโดลมาบาห์เช่ (Dolmabahce Palace) พระราชวังขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าติดกับช่องแคบบอสฟอรัส และเป็นพระราชวังชื่อดังที่ได้ชื่อว่าเป็นที่สุดแห่งความยิ่งใหญ่อลังการของตุรกี ซึ่งสร้างขึ้นตามดำริของ “พระเจ้าอับดุลเมซิดที่ 1” (Abdulmecid I) ที่ต้องการสร้างพระราชวังแห่งใหม่ที่ทันสมัยกว่าพระราชวังทอปกาปึซึ่งเป็นที่ประทับเดิมและใช้เวลาสร้างนานถึง 13 ปีโดยแล้วเสร็จในปี 1856 ที่แน่ๆ คือกว่าจะสร้างเสร็จก็หมดงบประมาณไปมากถึง 1,500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ พระราชวังแห่งนี้จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การเงินของประเทศระส่ำระส่ายเข้าขั้นวิกฤต แลกมากับการได้เป็นพระราชวังที่มีความหรูหราที่สุดด้วยจำนวนห้องมากถึง 285 ห้อง และเพราะได้รับอิทธิพลในการออกแบบตกแต่งจากทางฝั่งยุโรป ทำให้พระราชวังโดลมาบาเช่สวยงามด้วยศิลปะผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบบารอก รอกโคโคและนีโอคลาสสิก แอบมีศิลปะแบบออตโตมันดั้งเดิมแทรกอยู่ทั่วไป สิ่งที่อยากบอกคือไม่ว่าจะเป็นห้องไหนโซนใดภายในพระราชวังโดลมาบาเช่ก็ล้วนแต่สวยสะดุดตาและอลังการเกินประมาณจากการตกแต่งด้วยหินอ่อน ไม้คุณภาพดีราคาสูงลิบ มีคอลเลกชั่นภาพเขียนล้ำค่า ที่สำคัญคือพระราชวังแห่งนี้ใช้ทองคำในการตกแต่งผนังและเพดานน้ำหนักมากถึง 14 ตัน
ค่ำ
รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก
Ramada Merter หรือระดับเดียวกัน
วันที่ 9
เมืองอิสตันบูล - สไปซ์มาร์เก็ต - สนามบิน - ดูไบ
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
อิสระช้อปปิ้งที่ สไปซ์มาร์เก็ต (Spice Market) ซึ่งเป็นย่านช้อปปิ้งที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากตลาดแกรนด์บาร์ซาร์ และก็ก่อตั้งมานานตั้งแต่ พ.ศ. 2203 สินค้าที่มีจำหน่ายในตลาดแห่งนี้ก็ตรงตามชื่อนั่นคือกลุ่มเครื่องเทศที่แทบทุกร้านจะมีกระบะไม้วางเรียงกันเป็นแถวแล้วบรรจุผงเครื่องเทศไว้จนเต็ม เครื่องเทศแต่ละชนิดก็มีสีสันแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จึงมักเป็นคนพื้นที่ที่จะมาซื้อนำไปปรุงอาหาร และยังมีสินค้ากลุ่มธัญพืชทั้งหลาย โดยเฉพาะตระกูลถั่วของตุรกีจะเป็นที่ขึ้นชื่อมากในตลาดเครื่องเทศยังมีผลไม้ทั้งสดและแห้ง น้ำผึ้งแท้ น้ำมันหอมระเหย สมุนไพร ชาท้องถิ่นชั้นดี และที่น่าลองชิมสำหรับนักท่องเที่ยวก็คือขนมพื้นเมืองของตุรกีแท้ๆ ตรงตามต้นตำรับก็หาได้ไม่ยากในตลาดแห่งนี้ และยังมีราคาถูกอีกด้วย
ได้เวลาอันสมควร นำท่านเดินทางสู่ สนามบินอิสตันบูล SabihaGokcen International Airport
15.30 น.
ออกเดินทางสู่ เมืองดูไบ โดย สายการบินเอมิเรตส์ เที่ยวบินที่ EK120 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน)
21.00 น.
ถึงสนามบิน เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แวะเปลี่ยนเครื่อง
22.30 น.
เดินทางสู่ กรุงเทพฯ โดย สายการบินเอมิเรตส์ โดยเที่ยวบินที่ EK 374 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน)
วันที่ 10
ดูไบ - สนามบินสุวรรณภูมิ
08.00 น.
เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ