วันที่ 3
เมืองฟุสเซ่น - เมืองการ์มิช พาร์เทินเคียร์เซิน - นั่งรถไฟ Cogwheel Train - ยอดเขาซุกชพิตเซ่อ - เมืองวาลบวร์ก - พระราชวังและสวนมิราเบล - จัตุรัสเรสซิเดนท์ - บ้านเกิดโมซาร์ท - เซ็นท์ วูฟกัง
เช้า
บริการอาหารเช้า แบบ Box Set (เนื่องจากต้องออกเดินทางแต่เช้าเพื่อไปยังสถานีรถไฟ)
นำท่านเดินทางไปยัง เมืองการ์มิช-พาร์เทินเคียร์เชิน (Garmisch-Partenkirchen) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.) แต่เดิมเมืองนี้ แบ่งเป็น 2 เมือง คือ เมืองการ์มิช และเมืองพาร์เทินเคียร์เชิน ต่อมาได้รวมกันเป็นเมืองเดียว เนื่องจากเยอรมันได้เป็นเจ้าภาพในการจ้ดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวในปี 1936 ระหว่างวันที่ 6 -16 กุมภาพันธ์ โดยเมืองแห่งนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการพิชิตยอดเขาซุกชพิตเซ่อ (Zugspitze) ภูเขาที่ได้ชื่อว่า เป็น Top Of Germany
พาท่าน นั่งรถไฟ Cogwheel Train (รอบ 08.45 Eibsee - Zugspitzplatt) รถไฟรางแบบฟันเฟือง หนึ่งในสุดยอดสิ่งประดิษฐ์ทางวิศวกรรม ซึ่งในปัจจุบัน มีเพียงแค่ 4 แห่งเท่านั้น ที่ยังเปิดดำเนินการในเยอรมันอยู่และถือเป็นวิธีการขึ้นเขาซุกชพิตที่คลาสสิคที่สุด (กรณีที่รถไฟไม่สามารถทำการได้หรือไม่สามารถไปทันรอบเวลาขอสงวนสิทธิ์ ในการพาท่านขึ้นยอดเขาด้วย Cable car) โดยปลายทางของรถไฟอยู่ที่นะดับความสูง 2,650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล นับเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดอันดับ 3 ของยุโรป รองจาก Jungfrau และ Gornergrat ของสวิสเซอร์แลนด์
จากนั้นนำท่านไปยังระดับความสูง 2,962 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จุดที่สูงที่สุดของ ยอดเขา Zugspitze และของเยอรมัน ให้ท่านได้เก็บความประทับใจและประสบการณ์คร้ังหนึ่งที่ได้พิชิตจุดสูงสุดของแดนอินทรีเหล็ก
เที่ยง
บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารจีน
บ่าย
นำท่านสู่ เมืองบ้านเกิดของคีตกวีเอก ที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลกนาม ว็อลฟ์ กัง อมาเดอุส โมซาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) เมืองซาลบวร์ก (Salzburg) เมืองที่มีความหมายว่า ปราสาทเกลือ เนื่องด้วยสมัยก่อนนั้น เกลือถือเป็นวัตถุดิบล้ำค่า มีราคาเทียบเท่ากับทองคำ และที่นครแห่งนี้นั้น มีเหมืองเกลือขนาดใหญ่ ทำให้สภาพทางเศรษฐกิจในซาลบวร์กเฟื่องฟูมากที่สุดเมืองหนึ่งของยุโรปเลยทีเดียว (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.30 ชม.)
นำท่านชมความงามของ พระราชวังและสวนมิราเบล (Marabell Palace and Gardens) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1606 โดยเจ้าชายอาร์คบิชอป Wolf Dietrich ซึ่งรับสั่งให้สร้างพระราชวังขึ้นเพื่อ Salome Alt หญิงผู้เป็นที่รักของพระองค์ โดยคำว่า มิราเบล มาจากคำ 2 คำ คือ admirable ที่แปลว่า น่าชื่นชม และคำว่า beautiful ที่แปลว่า สวยจึงมีความหมายโดยรวมว่า ความโสภาที่น่าอภิรมย์ ดั่งความโรแมนติกอันเป็นเหตุแห่งการสร้างพระราชวังแห่งนี้ ปัจจุบันนิยมใช้เป็นสถานที่ในการจัดพิธีแต่งงาน และถ่ายรูป Prewedding ไฮไลทข์องพระราชวังแห่งนี้นั่น คือ ตัวสวนมิราเบล สวนที่ถูกจัดเป็นสไตล์บาโรค ที่ถูกรังสรรค์เพิ่มเติมจนแล้วเสร็จในปี 1690 เป็น 1 ในฉากถ่ายทำภาพยนตร์เพลงชื่อก้องโลกอย่าง The Sound Of Music ที่ฉายในปี 1965 นำแสดงโดยจูลี่แอนดรูว์กับเพลงที่โด่งดังอย่าง “Do Re Mi”
จากนั้นพาท่านข้ามแม่น้า Salzach ไปยังเขตเมืองเก่า สำรวจ เมือง Salbrug เพิ่มเติม
นำท่านเดินเล่นและแวะถ่ายรูปบริเวณ ถนน Getreidegasse โดยถนนแห่งนี้ ในวันที่ 27 มกราคม ปี 1756 ณ บ้านเลขที่ 9 โมสาร์ท เอกกวีที่โด่งดังได้ถือดำเนินขึ้น ซึ่งเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังนี้กว่า 20 ปี ก่อนย้ายไปยังเมืองหลวงที่เวียนนา โมสาร์ทได้ใช้ตัวโน็ตรังสรรค์ทำนองบทเพลงอมตะมากมาย อาทิ ซิมโฟนี่หมายเลข1- 41, Krönungsmesse, Don Giovanni และอีกมากมาย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เขามีโอกาสได้ประพันธ์เพลงเพียง 35 ปีก็ต้องจบชีวิตลง
ถัดไปนั้นเป็น จัตุรัสเรสซิเดนท์ (Residenzplatz) จัตุรัสที่รวมสถานที่สำคัญของเมือง ไม่ว่าจะเป็น อาสน์วิหารซาลบวร์ก พระราชวังเรสซิเดนท์ รวมไปถึง ประติมากรรม Sudliche Dombogen โดยจากตรงนี้ท่านจะสามารถเห็น ป้อมโฮเฮนซาลบวร์ก (Fortress Hohensalzburg) ได้อย่างชัดเจน
หลังจากชมเมืองซาลบวร์กเสร็จสิ้นแล้ว นำท่านเข้าพักผ่อนที่หมู่บ้านงามริมทะเลสาบท่ามกลางขุนเขาที่อวลไปด้ว้บรรกาศสุดโรแมนติกที่ เซ็นท์วูฟกัง St.Wolfgang
ค่ำ
บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น เสิร์ฟเมนู Schnitzel หมูทอดสไตล์ออสเตรียแท
ที่พัก
SCALARAIA ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่ 4
ฮัลล์สตัท - เช้สกี้ ครุมลอฟ - ปราก - สะพานชาร์ล - ย่านเมืองเก่า - นาฬิกาดาราศาสตร์
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
จากนั้นพาท่านเดินทางต่อไปยัง ฮัลล์สตัทท์ (Hallstatt) หมู่บ้านมรดกโลกที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นหมู่บ้านมรดกโลกที่สวยที่สุดในโลก (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) เมืองมรดกโลกที่อยู่ท่ามกลางขุน เขาและทะเลสาบ ตั้งอยู่ในรัฐอัปเปอร์ออสเตรีย มีประชากรไม่ถึง 1,000 คน แต่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนกวา่ 800,000 คนต่อปี ด้วยทัศนียภาพตระการตา ที่ธรรมชาติและมนุษย์ร่วมกันประกอบขึ้นทำให้เป็นสถานที่ที่เป็น The Must ของยุโรปตะวันออกเลยทีเดียว ให้ท่านอิสระในการซึมซับ รรยากาศของเมืองมรดกโลก
จากนั้นมุ่งหน้าสู่ สาธารณรัฐเช็ก สู่เมือง เช้สกี้ ครุมลอฟ (Cesky Krumlov) ไข่มุกแห่งโบฮิเมียน (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.3 ชม.) เป็นอีกเมืองสวยที่พลาดไม่ได้ ด้วยเอกลักษณ์ที่บ้านเรือนมีหลังคาสีส้ม มีแม่น้ำวอลตาว่า พาดผ่านเป็นรูปคล้ายๆหยดน้ำ ทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่งดงาม
พาท่านชม ปราสาทเช้สกี้ ครุมลอฟ ด้านนอก ปราสาททีใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ซึ่งถือว่าใหญ่มากหากเทียบกับขนาดเมือง นอกจากนั้นเมืองน้ี้ยังได้ร้บการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1992 อีกด้วย
เที่ยง
บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารจีน
บ่าย
นำท่านสู่เมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็กที่ เมืองปราก (Prague) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.3 ชม.) ชมเสน่ห์ที่หลายคนยกย่องว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดของยุโรปตะวันออก ให้ท่านได้ใช้เวลาเต็มที่ที่เมืองแห่งนี้
นำท่านชม สะพานชาร์ล (Charle Bridge) สะพานหลักสุดคลาสสิคที่โด่งดังที่สุดของเมืองเชื่อมฝั่งเมืองเก่าและเมืองใหม่ ที่ถูกแบ่งด้วยแม่น้ำวอลตาว่าเข้าด้วยกัน สะพานแห่งนี้เริ่มก่อสร้างในปี 1357 ใช้เวลาในการสร้างมากกว่า 100 ปีกว่าจะแล้วเสร็จเดิมทีชื่อว่า Stone Bridge หรือ Prague Bridge และมาเปลี่ยนชื่อมาเป็นสะพานชาลส์ในปีค.ศ. 1870 ตัวสะพานมีความยาว 621 เมตรและมีความกว้างเกือบ 10 เมตรเป็น 1 ในมุมถ่ายรูปที่ท่านต้องไม่พลาดด้วยประการทั้งปวง
ไม่ไกลกันจะพบกับ ย่านเมืองเก่า (Old Town Square) ที่มีไฮไลท์สำคัญของย่านนี้นั่นคือการชม นาฬิกาดาราศาสตร์เมืองปราก ซึ่งถือเป็นนาฬิกาดาราศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังทำงานได้อยู่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1410 เท่ากับว่าตอนนี้มีอายุมากกว่า 600 ปีแล้วส่วนประกอบของนาฬิกามีอยู่สามส่วนหลักๆ ได้แก่ หน้าปัดที่แจ้งเกี่ยวกับดาราศาสตร์ การอธิบายตำแหน่งการโคจรของดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์บนท้องฟ้า และแสดงรายละเอียดอื่นอีกเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ในทุกๆต้นชั่วโมงนั้นจะมีตุ๊กตากลพระสาวกพระเยซูทั้ง 12 ท่านปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงระฆังตั้งแต่เวลา 09.00 – 21.00 ในทุกวัน
บริเวณใกล้เคียงยังเป็นที่ตั้งของ Church of Our Lady before Týn ถือเป็นโบสถ์หลักของย่านเขตเมืองเก่าสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบโรมันเนส ในตอนต้นก่อนมีการผสมรูปแบบกอธิคในอีก 3 ศตวรรษ ต่อมาภายในโบสถ์มีไปป์ออร์แกนที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงปรากสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1673
ค่ำ
บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
ที่พัก
Astoria Hotel Prague ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่ 5
ปราก - ปราสาทปราก - โบสถ์เซ็นท์วีตัส - ถนน Golden Lane - บราทิสลาว่า
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
จากนั้นนำท่านชม ปราสาทลำดับที่ 1 ของประเทศที่ ปราสาทปราก (Prague Castle) มหาปราสาทที่สร้างมากว่า 1,200 ปี Guinness World Records ได้บันทึกไว้ว่าเป็นปราสาทโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลกครอบคลุมพื้นที่ถึง 70,000 ตารางเมตร เคยเป็นที่ประทับของบรรพกษัตริย์ของชาวโบฮิเมียน ปัจจุบันใช้เป็นทำเนียบประธานาธิบดีสูงเด่นตระหง่านอยู่บนเขาทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำวอลตาว่า ภายในบริเวณปราสาทนั้นมีสิ่งปลูกสร้างมากมายประหนึ่งเมืองๆหนึ่ง อาทิ อาสน์วิหารนักบุญวีตัส (St. Vitus Cathedrals) โบสถ์คริสต์แห่งแรกของปรากสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 870 สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่นักบุญวีตัสผู้สละชีวิตในช่วงยุคโรมันราวปี 303 ก่อนที่พระเจ้าคอนสแตนตินจะประกาศตนเป็นคริสศาสนิกชนโบสถ์ให้นี้ ใช้เวลาในการสร้างกว่า 600 ปีภายในจะประดับด้วยกระจกสีและ Rose Window
จากนั้นไปชมอีก 1 จุดที่สวยไม่แพ้กันนั่น คือ ถนนทองคำ (Golden Lane) โดยสาเหตุที่ได้ชื่อว่าถนนทองคำนั้น เนื่องจากบริเวณนี้นั้นเป็นที่พำนักของเหล่าช่างทองที่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ในช่วงที่มีการเล่นแร่แปรธาตุกัน แต่ลักษณะของบ้านเรือน เป็นสีลูกกวาดสดใสและฉูดฉาดที่ท่านจะเห็นในปัจจุบันนั้นมาจากพระราชดำรัสของพระนางมาเรียเทเรซ่า มหาจักพรรดินีออสเตรียที่ โปรดบูรณะให้มีความสวยงาม
เที่ยง
บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารไทย
บ่าย
จากนั้นนำท่านมุ่งหน้าไปสู่ สาธารณะรัฐสโลวัก (Slovak Republic) (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.30 ชม.) ที่เมืองหลวงบราทิสลาว่า (Bratislava) เป็น 1 ใน 10 ประเทศที่แม่น้ำดานูบแม่น้ำสายสำคัญของยุโรปไหลผ่านและเป็นเมืองโปรดของพระนางมาเรียเทเรซ่าอีกด้วย
ให้ท่านแวะถ่ายรูปกับ ปราสาทบราทิสลาว่า (Bratislava Castle) ด้านนอกปราสาทสำคัญของเมืองในอดีต เคยถูกใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์ฮังการีและเป็นป้อมปราการด่านสำคัญที่ไว้สำหรับป้องกันข้าศึกที่จะมารุกรานอาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี ด้วยความได้เปรียบทางด้านยุทธศาสตร์ จากการที่ตัวปราสาทตั้งอยู่บนสูงจึงส่งผลให้ท่านจะได้ชมวิวที่สวยงดงามยามเย็นที่แม่น้ำดานูบทอดยาว และหากสภาพอากาศเอื้ออำนวยจะสามารถเห็นพื้นที่ราบของประเทศฮังการีได้อีกด้วย ปัจจุบันถูกใช้เป็นที่ทำการของรัฐบาล
ค่ำ
บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
ที่พัก
Park Inn by Radisson Danube Bratislava Hotel ระดับ 4 ดาวกรือเทียบเท่า
วันที่ 6
บราทิสลาว่า - ปูดาเปสต์ - สะพานเชน - คาสเทิลฮัลล์ - จัตุรัสวีรบุรุษ - โรงอุปรากรณ์ฮังการี - มหาวิหารเซ็นท์สตีเฟ่น - ล่องเรือพร้อมดินเนอร์สุดหรูบนแม่น้ำดานูบ
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้นนำท่านสู่ เมืองบูดาเปสต์ (Budapest) ประเทศฮังการี อีก 1 เมืองงามที่ถูกขนานนามว่าเป็นปารีสแห่งยุโรปตะวันออก (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.) ด้วยประวัติศาสตร์ที่มีมาอย่างยาวนานหล่อหลอมศิลปะวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่น และผสมผสานกันอย่างลงตัว แต่เดิมนั้นบูดาเปสต์แบ่งออกเป็น 2 เมืองคือเมืองบูดา (Buda) และเมืองเปสต์ (Pest) โดยมีบูดาเป็นเขตเมืองหลวง ต่อมาได้มีการขยายเมือง แต่บูดานั้นมีพื้นที่เขาเป็นส่วนมาก ทำให้ขยายเขตเมืองได้ยาก ผิดกับฝั่งเปสต์ที่เป็นพื้นที่ราบกว้างขวาง ทำให้เกิดการรวมเมืองกันเกิดขึ้น โดยถ้าท่านสังเกตจะพบว่าฝั่งบูดานั้นจะมีสิ่งปลูกสร้างเก่าและเป็นที่พักอาศัย ส่วนฝั่งเปสต์จะเป็นย่านอาคารสำนักงานที่ทำการรัฐบาล จะกล่าวคือเป็นเขตเมืองใหม่ก็ไม่ผิด
แวะถ่ายรูปกับ สะพานเชน (Chain Bridge) 1 ใน 4 สะพานใหญ่ข้ามแม่น้ำดานูบ ที่มีสัญลักษณ์ที่เป็นจุดเด่นคือรูปปั้นสิงโต
จากนั้นพาท่านชมความงามของ กลุ่มอาคารบนคาลเทิลฮิลล์ (Castle Hill) เนินเขาริมแม่น้ำดานูบอัน เป็นที่ตั้งของพระราชวังบูดาโบสถ์แมนทิอัสและป้อมชาวประมงเรียงกันไปตามแนวเขาปราสาทบูดา (Buda Castle) ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ในปี 1265 ในสมัยของพระเจ้าเบล่าที่ 4 ของราชวงศ์อาปาร์ด แต่ถูกสร้างเพิ่มเติมและบูรณะมาเรื่อยๆ สำหรับตัวปราสาทที่ท่านจะเห็นนั้น จะเป็นการสร้างแบบบาโรกระหว่างปี 1749 และ 1769 ถือเป็นพระราชวังหลวงของพระราชวงศ์ทั้งหมดของฮังการี ปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นหอศิลป์แห่งชาติและพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์บูดาเปสต์
ถัดไปทางตอนเหนือของเนินเขา พาท่านชมบริเวณโดยรอบของ ป้อมชาวประมง (Fisherman’s Bastian) และ โบสถ์แมนทิอัส (MantiusChurch) ถือว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างแห่งแรกๆของคาลเทิลฮิลล์แห่งนี้ เริ่มจากตัวโบสถ์ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมานเนสส์ สร้างตั้งแต่ในปี 1015 และได้รับการบูรณะด้วยศิลปะโกธิคในช่วงศตวรรษที่ 14 ถือเป็น 1 ใน 7 มหาศาสนสถานในยุคกลางของฮังการี สร้างโดยพระเจ้าสตีเฟ่นกษัตริย์พระองค์แรกของฮังการี เดิมชื่อว่าThe Church of Our Lady ก่อนเปลี่ยนตามชื่อของพระเจ้าแมนทิอัส หลังจากได้ทรงสร้างหอคอยของโบสถ์ และได้ใช้สถานแห่งนี้ประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรสของพระองค์ถึง 2 ครั้ง นอกจากนั้นยังเป็นที่ฝังพระบรมศพของพระเจ้าเบล่าที่ 3 อีกด้วย โดยโบสถ์จะตั้งอยู่ในบริเวณป้อมชาวประมง ที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองการครบรอบ 1,000 ปีของการก่อตั้งประเทศฮังการีในปี 1896 ลักษณะของป้อมนั้นเป็นทรงสูงแหลม มาจากลักษณะกระโจม ซึ่งเป็นที่พักของชาวประมงแม็กย่าร์ในอดีตและยังเป็นที่ตั้งของอนุเสาวรีย์ของเซ้นท์สตีเฟ่นอีกด้วย นอกเหนือจากรูปแบบสถาปัตยธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือนแล้ว ท่านจะได้ดื่มด่ำกับวิวของแม่น้ำดานูบและอาคารของฝั่งเปสต์ ที่มีไฮไลท์สำคัญเด่นตระหง่านกว่าอาคารอื่นๆ นั่นคือ อาคารรัฐสภาของประเทศฮังการี (Hungarian Parliament) ซึ่งถือว่าเป็น 1 ใน 3 อาคารรัฐสภาที่ใหญ่ที่สุดในโลกคู่กับที่ลอนดอนและวอชิงตันดี.ซี.
เที่ยง
บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น เมนูกูลาร์ช อาหารท้องถิ่นที่ห้ามพลาด *เป็นซุปเนื้อหรือหมูกับมันฝรั่งเติมรสชาติเอกลักษณ์พิเศษด้วยพริกปราปิก้า*
บ่าย
นำท่านชม จัตุรัสวีรบุรุษ (Hero Square) อันเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ของเหล่าบรรพชนหัวหน้าเผ่าแม็กยาร์ทั้ง 7 ที่ได้รวมกับสร้างอาณาจักรฮังการีภายใต้การนำของเจ้าชายอาปาร์ดในปี 896 รวมไปถึงบุคคสำคัญและกษัตริย์ในอดีต ตรงกลางยังมีรูปปั้นเทพแกเบรียล(Gabriel) เทพของกรีกโบราณ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอัครทูตสวรรค์ผู้นำสารจากพระเจ้า ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บน Millennium Monument ที่มีความสูงถึง 36 เมตร
นำท่านเข้าชมอีก 1 สถานที่ที่น้อยท่านจะทราบว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดนั่นคือ โรงอุปรากรณ์ฮังการี (Hungarian State Opera) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นโรงโอเปร่าที่สวยงามที่สุดในยุโรป แม้แต่พระเจ้าฟรันโจเซฟที่ 1 ถึงขนาดเสด็จมาเพียงครั้งเดียวในครั้งการแสดงรอบปฐมฤกษ์ในวันที่ 27 กันยายน 1884 และไม่โปรดที่จะเสด็จกลับมาอีกเลย เนื่องจากมีความสวยงามมากกว่าโรงโอเปร่าที่เวียนนาซึ่งถือว่าเป็นหลวงของดนตรีคลาสสิคตัวโรงอุปรากรณ์แห่งนี้ ถูกสร้างสไตล์นิโอโรเนสซองส์และบาโรก บริเวณอัฒจันทร์จะมีสีทองอร่ามจากทองคำเปลวที่เคลือบไว้ทุกอนู โดยสามารถจุผู้ชมได้ถึง 1,261 คน
จากนั้นพาชม มหาวิหารเซ็นท์สตีเฟ่น (St.Stephen's Basilica) มหาวิหารที่ตั้งตามชื่อของกษัตริย์นักบุญ ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งฮังการี เริ่มสร้างในปี 1851 โดยต้องใช้สถาปนิกถึง 2 ท่าน คือ JozsefHild และ MiklósYbl ตามลำดับ จนแล้วเสร็จในปี 1905 จุดเด่นของโบสถ์แห่งนี้คือหลังคาโดมที่อาคารหลักที่มีความสูงถึง 96 เมตรเท่ากับอาคารรัฐสภา ซึ่งถึงว่าเป็นอาคารที่สูงที่สุดของบูดาเปสต์ เนื่องจากได้มีกฎหมายว่าห้ามสร้างสิ่งปลูกสร้างที่สุงเกิน 96 เมตรนั่นเอง
19.00 น.
นำท่านสู่บรรยากาศแสนพิเศษบนเรือ ล่องแม่น้ำดานูบสุดหรู พร้อมรับประทานอาหารเย็นบนเรือ โดยตลอดทางท่านจะได้เห็นอาคารต่างๆที่ประดับไฟยามค่ำคืน เคล้ากับเสียงดนตรีเพราะๆ ซึ่งแม่น้ำดานูบที่บูดาเปสต์นั้น หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นวิวริมแม่น้ำดานูบที่สวยที่สุดในยุโรป”
ที่พัก
Danubius Hotel Flamenco ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่ 7
ปูดาเปสต์ - Fashion Outlet Prandoft - เวียนนา - พระราชวังและสวนเซินน์บรุน - ถนนคาร์ทเนอร์
เช้า
นำท่านผ่านชม อาคารรัฐสภาของประเทศฮังการี (Hungarian Parliament) อาคารทรงโกธิกผสมโดมแบบโรเนสซองส์ ใช้แรงงานกว่าหนึ่งแสนคนอิฐกว่าสี่สิบล้าน ก้อนหินล้ำค่ากว่าห้าแสนชิ้น และทองคำกว่า 40 กิโลกรัม รังสรรค์ออกมาจนแล้วเสร็จในปี 1904 มีประตู 27 บานบันได 29 จุดและมีห้องมากถึง 691 ห้อง
จากนั้นเดินทางกลับสู่เขตประเทศออสเตรียไปยัง Fashion Outlet Parndorf (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.) พรีเมี่ยมเอ้าท์เลทที่ให้ท่านได้เลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมอย่างอิสระ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา ก็มีให้ได้เลือกสรร (เอ้าท์เลทปิดวันอาทิตย์หากโปรแกรมตรงกับวันอาทิตย์ขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมเป็น PREMIUM OUTLET BUDAPEST แทน)
เที่ยง
**อิสระรับประทานอาหารกลางวัน ภายในเอ้าท์เลท เพื่อไม่เป็นการรบกวนเวลาของท่าน**
บ่าย
นำท่านมุ่งหน้าสู่ กรุงเวียนนา (Vienna) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. เมืองหลวงของออสเตรียและดนตรีคลาสสิค เป็นเมืองที่โมสาร์ทมาพำนักในยุคที่รุ่งเรืองของชีวิต
พาท่านเข้าชม พระราชวังและสวนเชินน์บรุน (Palace and Gardens of Schonbrunn) พระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์ฮับส์บวร์ค สร้างแบบบาโรก คำว่า เชินน์บรุน นั้นมีความหมายว่า น้ำพุร้อนอันแสนสวยงาม โดยมีการริเริ่มสร้างในช่วงปีค.ศ. 1569 หลังจากที่พระเจ้าแม็กซีเมเลี่ยนที่ 2 ได้ซื้อที่ดินบริเวณนี้แต่ตัวอาคารในปัจจุบันนั้นสร้างและต่อเติมในสมัยของพระนางมาเรียเทเรซ่า โดยมีพระราชประสงค์ให้มีความยิ่งใหญ่และสวยงามทัดเทียมพระราชวังแวร์ซายน์ของราชวงศ์บูร์บง และด้วยพระองค์ทรงโปรดสีเหลืองมาก จึงได้มีการใช้สีเหลืองโทนพิเศษตกแต่งด้านนอกของพระราชวัง และต่อมาสีเหลืองโทนนี้นั้นจึงได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า สีเหลืองเทเรซ่า
จากนั้นพาท่านสู่ถนนคนเดินแห่งแรกๆของยุโรปที่ ถนนคาร์ทเนอร์ (KartnerStreet) ที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโรมันเป็น 1 ในถนนที่มุ่งสู่กรงโรม ในสมัยนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อของStrata Carinthianorum ก่อนจะถูกพัฒนามาเป็นถนนสายช้อปปิ้งในช่วงศตวรรษที่ 19 แม้อาคารบ้านเรือนส่วนมาก จะถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ทางการก็ได้สร้างตึกรามบ้านช่องที่รูปแบบเดิม เพื่อคงเสน่ห์แห่งถนนสายนี้ไว้อย่างสมบูรณ์
นอกจากนั้นยังมีศาสนสถานที่สำคัญบนถนนแห่งนี้อีกแห่งหนึ่งคือ อาสนวิหารสเตฟาน (St. Stephen's Cathedral) โบสถ์เก่าแก่ที่อยู่มา ตั้งแต่ปี 1160 ตัว อาสนวิหารสร้างด้วยหินปูนมีความยาว 107 เมตรกว้าง 70 เมตรและสูง 136.7 เมตรมีระฆังทั้งหมด 23 ใบใบใหญ่ที่สุดชื่อว่าระฆังพุมเมรินที่มีน้ำหนักถึง 20,130 กิโลกรัม ถือเป็นระฆังแบบแกว่งที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรียและเป็นอันดับ 2 ของยุโรปรองจากระฆังปีเตอร์ของเยรมันเท่านั้น กล่าวกันว่าบิโทเฟ่นรู้ตัวว่าตนสูญเสียการได้ยิน เพราะว่าเมื่อหันมองไปบนอาสนวิหารแห่งนี้แล้วเห็นนกบินออกจากหอระฆังแต่กลับไม่ได้ยินเสียงระฆังเหมือนเคย
ค่ำ
บริการอาหารเย็น ณ ภัตตาคาร เมนูพิเศษ Apple strudel ของหวานสุดคลาสสิคของเวียนนา
ที่พัก
Intercity Hotel Wien ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่ 8
เวียนนา - ท่าอากาศยานนานาชาติเวียนนา
เช้า
บริการอาหาร ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ผ่านชม ถนนสายวงแหวนRingstrasse ถนนที่ตัดผ่านอาคารสำคัญของเวียนนาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงละครโอเปร่า เวียนนาพิพิธภัณฑ์ต่างๆ อาคารรัฐสภา ตลอดจนถึงมหาวิทยาลัยเวียนนา อาคารเหล่านี้นั้นได้รับการบูรณะภายหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่แม้จะสร้างใหม่ขึ้นมา ทางการก็ยังคงสถาปัตยกรรมในแบบดั้งเดิมอยู่
สมควรแก่เวลา นำท่านเดินทางสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติเวียนนา (Flughafen Wien) เพื่อให้ท่านได้มีเวลาทำการคืนภาษี (Vat Refund)
14.35 น.
ออกเดินทางกลับสู่ กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดย สายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG937 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง)
**พีเรียดตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน เป็นต้นไป จะออกจากสนามบินนานาชาติเวียนนา เวลา 13.30 น.**
วันที่ 9
สนามบินสุวรรณภูมิ
05.20 น.
ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ด้วยความประทับใจ