วันที่ 3
เมืองฮาร์ราน - เมืองเนมรุต - สะพานเซเวอรัน - เมืองโบราณอาเซเมีย - สุสานคาราคูซ - รูปสลักกษัตริย์แห่งโคมายานา
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านสู่ เมืองฮาร์ราน Harrannเมืองโบราณที่มีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ เป็นดินแดนของแอสซีเรียน เป็นศูนย์กลางการค้าขาย วัฒนธรรมและศาสนา เมืองนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลว่า เป็นเมืองที่อับราอัมได้มาอาศัยอยู่ และบิดาคือเทราห์ก็ได้เสียชีวิตที่เมืองฮารานแห่งนี้ ก่อนที่เขาจะออกเดินทางสู่ เมืองคานะอัน (Canaan) ดินแดนศักดิ์สิทธิ์และ ศาสดาทั้งสาม คือ โมเสส เจซัส และ โมฮัมหมัด ก็ได้เคยมาพักอาศัยที่เมืองนี้ด้วย
ชม บ้านแบบรวงผึ่ง Beehive Village ที่ถูกสร้างขึ้นอยู่ท่ามกลางพื้นที่ราบและมีอากาศร้อนจัดในหน้าร้อนหนาว การออกแบบบ้านคล้ายกับรวงผึ้งก็เพื่อเป็นการระบายอากาศ
จากนั้นได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางสู่ เมืองเนมรุต
เที่ยง
บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร อาหารท้องถิ่น
บ่าย
เมืองเนมรุตซึ่งเป็นที่ตั้งของ ภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut) มีความสูง 2,134 เมตรมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องรูปสลักขนาดใหญ่ที่สร้างในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาลเดิม ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาไฟมาก่อนและเป็นที่ตั้งของสุสานกษัตริย์แห่งอาณาจักรโคมายานา (Commagene Kingdom) UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนให้สถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลก ในปี 1987
ระหว่างเดินทางนำท่านชม สะพานเซเวอรัน สร้างประมาณปี ค.ศ.200 เพื่อถวายจักรพรรดิ Septimius Severus เป็นสะพานโรมันที่สร้างด้วยหินทั้งหมด 92 ก้อนๆ ละประมาณ 10 ตัน เป็นสะพานที่สร้างโดยชาวโรมันที่อาจจะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสอง ยาว 120 เมตร กว้าง 7 เมตร ปัจจุบันยังคงอยู่สมบูรณ์แบบ
จากนั้นชม เมืองโบราณอาร์เซเมีย ซึ่งเดิมรู้จักในนามของป้อมปราการ สร้างเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเข้ามารุกรานที่อยู่อาศัยภายในอุโมงค์บริเวณนี้เคยได้รับการปกครองจาก อเล็กซานเดอร์มหาราช ผู้โด่งดัง กรีฑาทัพจากกรีซผ่านเมืองต่างๆมาเรื่อยจนถึงเอเชียกลาง หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ดินแดนที่พระองค์เคยรวบรวมไว้ก็แตกออกเป็นเมืองต่างๆ แล้วก็ปกครองตนเอง รวมถึงอาณาจักรโคมานายาแห่งนี้ วัฒนธรรมของโคมานายา เป็นอารยธรรมแบบกรีกผสมรวมเข้ากับความเชื่อของคนพื้นเมือง โคมานายาเป็นเอกเทศอยู่ 200 ปี ก่อนจะถูกรวบรวมเข้ากับจักรวรรดิโรมันในเวลาต่อมา
นำท่านชม สุสานคาราคูซ สุสานของราชินี Isiasและเจ้าหญิง Antiochisและ Aka I แห่งโคมายานา สร้างในช่วงปี 30-20 ก่อนคริสตกาล โดยกษัตริย์คนที่สองแห่งโคมายานา โดยคำว่า Karakusมีความหมายว่า นกสีดำ โดยชื่อนี้ได้มาจาก นกอินทรีย์ที่อยู่ด้านบนของเสาและรูปสลักกษัตริย์แห่งโคมายานา
ค่ำ
บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
ที่พัก
Nemrut Hotel 4* Hotel หรือเทียบเท่า
วันที่ 4
ชมพระอาทิตย์ขึ้น ณ ภูเขาเนมรุต - เมืองดิยาบาเคอร์ - กำแพงเมือง - เมืองมาร์ดิน
05.30 น.
ท่านชมความสวยงามของ พระอาทิตย์ขึ้นที่ ภูเขาเนมรุต (Mount Nemrut) เป็นไฮไลท์ที่สำคัญส่วนหนึ่งของทริปนี้ “ภูเขาเนมรุต เป็นสถานที่ที่สวยที่สุดในโลกแห่งหนึ่งสำหรับการชมพระอาทิตย์ขึ้น กับ พระอาทิตย์ตกดิน ” ในปี ค.ศ. 62 กษัตริย์แอนติโอได้สร้างสุสานโดยมีรูปปั้นของตนเองขนาดใหญ่และสิงโตสองตัวนกอินทรีและเทพเจ้าของเปอเซียไว้บนภูเขาหุบเขาเทพเจ้าแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักขอเรียงว่าระเบียง 3 ด้าน คือด้านทิศเหนือ ตะวันออก และตะวันตกระเบียงฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกประกอบด้วยแถวของหินสลักเทพเจ้าขนาดใหญ่ที่สลักจากเนื้อหินของภูเขา ส่วนระเบียงทางทิศเหนือไม่มีรูปสลักเหมือนอีกสองฝั่ง คาดว่าเป็นที่ชุมนุมในช่วงที่มีการประกอบพิธี ไม่มีร่องรอยของการสร้างสิ่งอื่นใดในเขตบริเวณนี้คือระเบียงฝั่งตะวันตกระเบียงฝั่งตะวันออกอยู่ในสภาพดีกว่าฝั่งตะวันตก รูปสลักหินส่วนลำตัวยังนั่งอยู่บนบัลลังค์ ความสูง 8-10 เมตร แต่ส่วนเศียรร่วงลงมา แต่ถูกจับเรียงตั้งขึ้นเป็นแถว ซึ่งส่วนเศียรก็มีความสูง 2 เมตรรูปสลักหินทั้งหมดจากที่รวบรวมไว้ได้มี สิงโต นกอินทรี ซึ่งสัตว์ 2 ชนิดนี้มีหน้าที่คุ้มคองทุกสิ่งบนหุบเขา รูปสลักหินกษัตริย์ Antiochos I, เทพีโคมายานา, ซุส-อารามาสต์, เทพอาร์เมเนียน, สุริยเทพอะพอลโลม เทพเฮอร์คิวลิให้ท่านเก็บภาพประทับใจ จากนั้นกลับสู่กลับสุ่โรงแรมที่พัก เพื่อรับประทานอาหารเช้า
เช้า
รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองดิยาบาเคอร์ ซึ่งเป็นเมืองหลังทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไทกริส เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอนาโตเลีย มีวัฒนธรรมพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์ยังคงบรรยากาศในยุคกลางไว้ได้ครบถ้วน มีสินค้าพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อ คือ เครื่องประดับ เครื่องเงิน ทองแดง เครื่องปั้นดินเผา ผ้าขนสัตว์ที่สำคัญที่สุด
นำท่านชม กำแพงเมืองดิยาบาเคอร์ Diyabakir City Wallทำด้วยหินบะซอลท์สีดำ มีความยาวประมาณ 5.5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นกำแพงที่ยาวเป็นอันดับสองของโลกรองจากกำแพงเมืองจีน โดยกำแพงนี้ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กำแพงเมืองนี้สร้างล้อมรอบเขตเมืองเก่าไว้ โดยมีประตูทางเข้า 4 ทาง มีหอคอย 82 หอคอย
จากนั้นนำท่านชม สะพาน Dicle หรือ สะพานสิบโค้งเป็นสะพานที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในDiyarbak?rเหนือแม่น้ำ Tigrisสร้างด้วยหินภูเขาไฟสีดำสะพานมีความยาว 178 เมตร สร้างเสร็จในปี ค.ศ 1065 สมัยก่อนใช้สำหรับสัญจรไปมาระหว่างเมืองปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้
เที่ยง
บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร อาหารท้องถิ่น
บ่าย
เดินทางสู่ เมืองมาร์ดิน ตั้งอยู่บนที่ราบเมโสโปเตเมีย ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี เป็นเมืองโบราณเก่าแก่ที่สุดบนพื้นที่เมโสโปเตเมียตอนบน การขุดค้นโบราณสถานในเมืองนี้มีขึ้นในปี ค.ศ. 1920 พบว่าซากเมืองมีอายุย้อนไปถึง 4,000 ปีก่อนคริสตกาล อารยธรรมแรกที่พบในพื้นที่นี้ คืออารยธรรมสุบาเรียน (Subarians) เมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาลและอารยธรรมอีลาไมต์ เมื่อประมาณ 2,230 ปีก่อนคริสตกาล ตามด้วยบาบิโลเนียน, ฮิตไทต์, อัสซีเรียน,โรมัน และไบแซนไทน์ มีสถาปัตยกรรมสร้าง ด้วยหินที่วางซ้อนตกแต่งอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างแท้จริงด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามหลากหลายชาติพันธุ์วิทยาสิ่งมหัศจรรย์ทางโบราณคดีและมรดกทางประวัติศาสตร์
นำท่านสู่จุดชม วิวพาโนรามาของเมืองมาร์ดิน ให้ท่านเก็บภาพประทับใจ
จากนั้นนำท่านชม สุเหร่าประจำเมืองมาร์ดิน (Great Mosque of Mardin)เป็นหนึ่งในมัสยิดเก่าแก่ของเมือง สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12โดยผู้ปกครองของ Artukid Turks โดยมีโดมและหอสูงยอดแหลมบนสุเหร่าใช้เป็นที่เรียกคนมาสวดมนตร์ แต่เดิมมีสองยอด แต่ได้ถล่มลงมาเมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมา อิสระให้ท่านเดินเล่นถ่ายรูปในย่านเมืองเก่า ซึ่งมีทิวทัศน์ที่สวยงามทิวเขาที่อยู่เป็นฉากหลังเสริมให้ภาพสวยงามดั่งภาพวาด
ค่ำ
บริการอาหารค่ำณ โรงแรมที่พัก
ที่พัก
KAYA NINOVAMardin 4* Hotel หรือเทียบเท่า
วันที่ 5
เมืองดารา - เมืองวาน - ทะเลสาบวาน - เกาะอัคคาม่า - ปราสาทวาน
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านสู่ เมืองดาราหรือดาร์ส Ancient City of Dara, Mesopotamia เดิมเคยเป็นเมืองป้อมปราการตะวันออกที่สำคัญทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมียติดกับอาณาจักรยะห์ซิด(เปอร์เซีย)ถือว่ามีความสำคัญของยุทธศาสตร์สอย่างยิ่งในความขัดแย้งของชาวโรมัน - เปอร์เซียศตวรรษที่ 6 การรบที่มีชื่อเสียงของดาราที่เกิดขึ้นนำชมท่านเมืองโบราณและอ่างเก็น้ำใต้ดินขนาดใหญ่สร้างขึ้นในยุคค.ศ 530 อิสระให้ท่านเก็บภาพประทับใจ
จากนั้นเดินทางสู่ เมืองวาน Van ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศตุรกี ได้รับฉายาว่า“ไข่มุกแห่งตะวันออก”The Pearl of The East เนื่องจากเป็นเมืองที่มีภูมิประเทศสวยงามมาก โดยมี ทะเลสาบวาน Van Lake ซึ่งเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในตุรกี สิ่งที่ทำให้เมืองวานมีชื่อเสียงมากที่สุดอีกด้านหนึ่งคือ แมว ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีขนฟูสีขาว และมีนัยน์ตาทั้งสองข้างไม่เหมือนกัน โดยที่ข้างหนึ่งจะมีสีฟ้า และอีกข้างหนึ่งมีสีเหลือง นับว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของที่เมืองวานเท่านั้น ซึ่งมีที่เดียวในโลก ทางรัฐบาลตุรกีได้มีกฎหมายกำหนดให้เป็นสัตว์สงวน ไม่สามารถนำออกนอกประเทศเพื่อขยายพันธุ์ได้
เที่ยง
บริการอาหารเที่ยงณ ภัตตาคาร อาหารท้องถิ่น
บ่าย
นำท่านสู่ เกาะอัคดาม่า (Akdamar Island)เกาะที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ใน ทะเลสาบวาน (Lake Van) เกาะแห่งนี้มีพื้นที่ประมาณ 0.7 ตารางกิโลเมตร โดยเกาะอยู่ห่างจากชายฝั่งประมาณ 3 กิโลเมตร ทะเลสาบวาน ตั้งอยู่ที่ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 1,650 เมตร ทะเลสาบเกิดจากลำธารเล็ก ๆ ในเขตเทือกเขาใกล้เคียงไหลมารวมกันจนกระทั่วกลายเป็นทะเลสาบอันกว้างใหญ่ ซึ่งภายในทะเลสาบ ประกอบไปด้วยเกาะหลักๆ จำนวน 4 เกาะด้วยกัน โดยทะเลสาบแห่งนี้ถือว่าเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศตุรกี และเป็นทะเลสาบที่อยู่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลกอีกอิสระให้ท่าเก็บภาพประทับใจ
จากนั้นนำท่านชมความสวยงามของ ปราสาทวาน นอกเขตเมืองใหม่ สร้างขึ้นในสมัย Uratianเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้ ซึ่งรวมถึง อามาเนีย ตุรกี และ อิหร่าน มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า The Saduriสร้างโดยกษัตริย์ Saduri II ในระหว่าง 764-735 ก่อนคริสตกาล ถูกค้นพบโดยชาวรัสเซีย ภายในมีวัดที่มีศิลาจารึกภาษาลิ่มของ Uratianมีห้องต่าง ๆ ที่ล้ำยุคจนน่าแปลกใจอีกหลายห้อง เช่น ห้อง Container ใช้เก็บข้าว ข้าวโพด และธัญพืช และน้ำ ด้านหน้าปราสาทมีทะเลสาบวานเป็นปราการธรรมชาติป้องกันการรุกรานจากศัตรู ด้านล่างของป้อมสร้างด้วยหินบะซอลท์ ด้านบนสร้างด้วยอิฐที่ทำจากโคลนตากแห้ง กำแพงสร้างภายหลังในยุคกลาง ด้านบนของปราสาทวานจะเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมืองวาน มองเห็นทะเลสาบวานทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของประเทศตุรกี ได้แบบพาโนรามาสุดสายตา
ค่ำ
บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
ที่พัก
Double three by Hilton Van 5*Hotelหรือเทียบเท่า
วันที่ 6
เมืองโดกุเบยาซิต - เทือกเขาอารารัท - เมืองคารส์ - Ani Site History
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
เดินทางสู่ เมืองโดกุเบยาซิต ทางทิศตะวันออกสุดของประเทศตุรกี เมืองนี้ถูกโอบด้วยทิวเขา Mt. Ararat พื้นที่ราบส่วนใหญ่ใช้ปลูกหญ้าหรือพืชผลไว้สำหรับเป็นอาหารสัตว์ในฤดูหนาว ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาจะสร้างบ้านที่ทำมาจากดินเหนียว เพื่อเพิ่มความอบอุ่นในฤดูหนาว เมืองเบยาซิตได้ถูกทำลายเสียหายอย่างหนักในสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามกู้เอกราชตุรกี และในปี 1930 มีการสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาคือเมือง Dogubeyazitแปลว่า East Beyazi
tชมความสวยงามของ พระราชวังอิซฮาก พาชาร์ กลางเมืองเบยาซิตเก่า สร้างในสมัยออตโตมันโดย Colak Abdi Pasha นายพลแห่งกองทัพเตอร์กที่เข้ามาปกครองเบยาซิต ในปี 1685 ส่วนที่เป็นฮาเร็ม (Harem) สร้างเสร็จในสมัยของหลานปู่ที่ชื่อ Ishak Pasha ในปี 1784 พระราชวังแห่งนี้สร้างเหมือนคอมเพล็กซ์ มีความสำคัญรองลงมาจากพระราชวังทอปกาปึ (Topkapi Palace) ในอิสตันบูล มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้น สร้างอยู่บนเนินเขา เป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่แห่งสุดท้ายของอาณาจักรออตโตมัน และเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมออตโตมันในยุคศตวรรษที่ 18 ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง ชั้นล่างของพระราชวังสร้างอยู่บนเนินเขาบนชั้นหินที่มีความแข็งแรง อีกสามด้านของพระราชวังเป็นหน้าผาสูง มีเพียงด้านทิศตะวันออกจะเป็นที่ราบ เป็นทางเข้าออก มีหน้ามุขแคบ ๆ ตัวอาคารสร้างด้วยด้วยหินสีแดงอมส้ม ได้มากจากภูเขาที่อยู่ในย่านนี้ สร้างโดยช่างฝีมือชั้นสูงมีการแกะสลักหินไว้อย่างสวยงาม
เที่ยง
บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร อาหารท้องถิ่น
บ่าย
เดินทางสู่ เมืองคาร์ส ผ่าน เทือกเขาอารารัท ซึ่งยอดเขา The great Ararat เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในตุรกีด้วยความสูง 5,137 เมตรจากระดับน้ำทะเลถือได้ว่าเป็นหลังคาตุรกีก็ว่าได้ ยอดเขาอารารัทจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดทั้งปี เทือกเขานี้ชาวคริสเตียนเชื่อว่าเป็นที่ที่เรือโนอาห์(Noah’s Ark) เกยอยู่หลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ในคัมภีร์ Bible ของชาวยิวและคริสต์ ใน Old Testament เล่ม Book of Genesis และในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านของมุสลิม โดยตามตำนานเล่าว่าพระผู้เป็นเจ้าของชาวยิวได้ช่วยเหลือโนอาร์ กับสมาชิกในครอบครัวอีก 7 คน และสัตว์ชนิดต่าง ๆ อย่างละ 1 คู่ จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้คนและสัตว์ทั้งหลายไปจนหมดโลก โดยบอกให้โนอาร์ต่อเรือยาวขนาด 137 เมตร แล้วนำสัตว์ต่าง ๆ ไว้บนเรือ เมื่อเกิดน้ำท่วม เรือโนอาร์ก็ลอยอยู่บนพื้นผิวน้ำเป็นเวลา 6 เดือน เมื่อน้ำลดเรือโนอาร์ก็ลอยมาติดอยู่บนเทือกเขา Ararat แห่งนี้ทุกคนจึงปลอดภัยจากน้ำท่วมโลกในครั้งนั้นระหว่างท่านจะได้เห็นความงามของเทือกเข้านี้
นำท่านสู่ เมืองเอนิชม Ani Site History เป็นเมืองโบราณที่ติดชายแดนอาร์มาเนีย เป็นส่วนหนึ่งของเมืองคาร์สอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักอาร์มาเนียยุคกลาง ปัจจุบันคือประเทศอาร์มาเนีย เมืองเอนิตั้งอยู่บนพื้นที่สามเหลี่ยมที่มีแม่น้ำ Arpaciaอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างตุรกีและอาร์มาเนีย ทิศตะวันตกติดกับหมู่บ้าน Tzaghkotzadzorเมืองเอนิได้ถูกขนานนามว่าเป็น City of 1001 Churches เนื่องจากมีวัด โบสถ์ พระราชวัง ป้อมปราการมากมายที่สร้างเรียงรายอยู่บนเส้นทางการค้าโบราณ และเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและศิลปะสูงสุดของโลกในยุคนั้น ในกลางปีคริสต์ศตวรรษที่ 18 พวกชนเผ่าเคอร์ดิช (Kurdish) ได้เข้ามาปล้นและฆ่าชาวเมือง จนชาวเมืองต้องอพยพหนีทิ้งให้เมืองเอนิกลายเป็นเมืองร้างถึง 100 ปี จนกระทั่งนักเดินทางชาวรัสเซียมาพบเมืองนี้และนำไปเขียนลงในหนังสือ จากนั้นจึงมีการกำหนดให้เมืองเอนิแห่งนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งใหม่ ปี 1892 ปัจจุบันได้รับการบันทึกให้เป็นมรดกโลก UNESCO's World Heritage ในปี 2016
ค่ำ
บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม
ที่พัก
WINTER CITY 4* Hotelหรือเทียบเท่า
วันที่ 7
เมืองเอร์ซูรุม - TortumWatrfall
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
เดินทางสู่ เมืองเอร์ซูรุม ซึ่งเป็นเมืองในภาคอานาโตเลียตะวันออกเมือนี้เดิมก่อตั้งขึ้นในปีก่อนคริสตศักราช 4900 ผ่านการปกครองของมาหลายอารยธรรมคือ; Uristus, Cimmerians, Scythians, Medes, เปอร์เซีย, Parthians, ชาวโรมัน, Sassanids, อาหรับ, Seljuks, Byzantines, Mongols, Ilkhaniansและ Safaviesออตโตมันเป็นผู้ปกครองในปี ค.ศ. 1514 ชื่อ “Erzurum”หมายถึง “ดินแดนของโรมัน” เดิมชาวอาหรับได้ปกครองจนกระทั่งเมืองถูกยึดคืนไปเป็นของจักรวรรดิไบแซนไทน์ในรัชสมัยของจักรพรรดิบาซิลที่ 2 ชาวอาหรับที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่นถูกเนรเทศออกไป ต่อมาได้เซลจุคเติร์กได้ยึดเมืองคืนจึงได้เป็นส่วนหนึ่งของตุรกีจนถึงปัจจุบัน
เที่ยง
บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร อาหารท้องถิ่น
บ่าย
นำท่านสู่ Tortum Waterfall ถือได้ว่าเป็นน้ำตกที่ใหญ่ติดอันดับโลกและเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในตุรกีและมีความสวยงามตามธรรมชาติแบบอลังการ เป็นน้ำตกที่เกิดจากปลายน้ำจากทะเลสาบTurtumที่ไหลมารวมกันจากทะเลสาบ Tortumมีความสูงระดับ 48 เมตร บริเวณรอบ ๆ น้ำตกเป็นป่าเขาอันสงบเงียบที่เต็มไปด้วยพรรณไม้สุดร่มรื่นหลายชนิด อิสระให้ท่านได้พักผ่อนตามอัธยาศัยและเก็บภาพประทับใจ
ได้เวลาอันสมควรนำท่านสู่โรงแรมที่พัก
ค่ำ
บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
ที่พัก
Erzurum 4-5* Hotelหรือเทียบเท่า
วันที่ 8
AydintepeBayburt’s underground city - อูซันโกล - เมืองแทรบซอน
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
เดินทางสู่ เมืองแทรบซอน นำท่านชม เมืองใต้ดิน Aydintepe underground city เมืองใต้ดินแห่งนี้มีการขุดเชื่อมกันระหว่างแต่ละเมือง ซึ่งภายในเมืองใต้ดินมีครบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องอาหาร ห้องประชุม คอกสัตว์ โบสถ์ บ่อน้ำ บางห้องเป็นห้องโถงกว้างสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนยุคคริสเตียน
เที่ยง
บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร อาหารท้องถิ่น
บ่าย
นำท่านสู่ เมืองอูซันโกล เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองแทรบซอน ซึ่งมีทะเลสาบที่สวยงามอยู่กลางหุบเขาและตั้งอยู่รอบล้อมไปด้วยเทือกเขาที่เต็มไปด้วยป่าไม้อันเขียวขจีและมีหมู่บ้านเล็กๆตั้งอยู่รอบทะเลสาบ ส่งผลให้เมืองนี้มีทัศนียภาพอันสวยงามคล้ายกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ทะเลสาบแห่งนี้เกิดขึ้นโดยการถล่มของภูเขาซึ่งทำให้ลำธารเปลี่ยนเป็นทะเลสาบอันสวยงาม ปัจจุบันได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมให้ท่านสัมผัสวิถีชีวิตสุดเรียบง่ายของหมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขา ลิ้มรสกาแฟตุรกีรสเข้ม ชมวิวทะเลสาบที่โอบล้อมไปด้วยเทือกเขาอันสวยงาม อิสระให้ท่านเดินเล่มชมเมืองซื้อของที่ระลึกและสินค้าพื้นเมืองตามอัธยาศัย
ได้เวลาอันสมควรนำท่านสู่ที่พัก ให้ท่านพักผ่อนตามอัธยาศัย
ค่ำ
บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรมที่พัก
ที่พัก
UZUNGOL WOOD 4* Hotelหรือเทียบเท่า
วันที่ 9
เมืองแทรปซอน - Trabzon Hagia Sophia Museum - ตลาดAvrupaliPazari - อิสตันบูล
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านสู่ เมืองแทรบซอน Trabzonเป็นหนึ่งในเมืองประวัติศาสตร์ของตุรกีตั้งแต่ยุคโบราณเมื่อ 700 ปีก่อนคริสตกาล ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหม เป็นเส้นทางสำคัญสมัยเปอร์เซีย และยังเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิเทรบิซอนด์ (Empire of Trebizond) ที่รุ่งเรืองในช่วงศตวรรษที่ 13 อีกด้วย ปัจจุบันแทรบซอนมีชื่อเสียงในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่เงียบสงบ มีสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย และมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเนื่องจากตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขากับชายฝั่งทะเลดำ
นำท่านชมTrabzon Hagia Sophia Museum เดิมเป็นโบสถ์ของชาวคริสเตียนสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่13 ในสมัยจักรวรรดิไบแซนไทน์ ต่อมาสมัยออตโตมันได้เปลี่ยนมาเป็นสุเหร่า
นำท่านชม Trabzon SehirMuzesi เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับวิถีชีวิตพื้นบ้านของคนที่อยู่อาศัยแถบฺBlack Sea ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันอิสระให้ชมเมืองและสถาปัตยกรรมบ้านเรือนแบบเก่าแก่ดั้งเดิม
เที่ยง
บริการอาหารเที่ยง ณ ภัตตาคาร อาหารท้องถิ่น
บ่าย
จากนั้นนำท่านสู่ ตลาด AvrupaliPazari (Russian Bazaar)ซึ่งเป็นตลาดท้องถิ่นเล็กๆ มีสิ้นค้าพื้นเมืองมากมายหลายอย่าง อิสระให้ท่านเลือกซื้อของตามอัธยาศัยได้เวลาอันสมควร
นำท่านสู่ จุดชมวิว Boztepe ท่านจะได้เห็นความงามของBlack Seaวิว 360 องศาของเมืองแทรบซอน อิสระให้ท่านเก็บภาพประทับใจ
จากนั้นนำท่านสู่ VarlibasAtapark Shopping Centerอิสระให้ท่านช้อปปิ้งตามอัธยาศัย
จากนั้นนำท่านสู่ สนามบิน
20.45 - 22.45 น.
เดินทางสู่ สนามบินอิสตันบูล เที่ยวบินที่ TK 2835 (บินภายในประเทศ)
ค่ำ
อิสระอาหารค่ำตามอัธยาศัย
วันที่ 10
อิสตันบูล - กรุงเทพ
01.25 น.
ออกเดินทางสู่ ประเทศไทย โดยเที่ยวบินที่ TK 68 (ใช้เวลาบินประมาณ 9 ชั่วโมง)
15.00 น.
เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดีภาพและความประทับใจ