05.30 น.
คณะพร้อมกันที่ ท่าอากาศยานดอนเมือง บริเวณผู้โดยสารขาออกอาคาร 1 ชั้น3 ประตู2 เคาน์เตอร์เช็คอินสายการบิน Air Asia (FD) เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯคอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินรับบัตรโดยสาร (แนะนำให้โหลดของที่ไม่จำเป็นลงใต้ท้องเครื่องเนื่องจากเจ้าหน้าที่อินเดียตรวจอย่าเข้มงวด)
**หมายเหตุ** เคาน์เตอร์เช็คอินจะปิดบริการก่อนเวลาเครื่องออกอย่างน้อย 60 นาที และผู้โดยสารพร้อม ณ ประตูขึ้นเครื่องก่อนเวลาเครื่องออก 30 นาที
10.10 น.
เดินทางถึง สนามบินเมืองคยา ประเทศอินเดีย (เวลาท้องถิ่นช้ากว่าไทย 1.30 ช.ม. กรุณาปรับนาฬิกาของท่านเป็นเวลาท้องถิ่นเพื่อสะดวกในการนัดหมาย) หลังผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและรับสัมภาระเรียบร้อยแล้ว
นำท่านเดินทางสู่ พุทธคยาพุทธสังเวชนียสถาน ที่สำคัญที่สุด 1 ใน 4 สังเวชนียสถาน และถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวพุทธทั่วโลก
บ่าย
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ บ้านนางสุชาดา เป็นธิดาของเสนียะ (เสนานิกุฏุมพี) ผู้มีทรัพย์ซึ่งเป็นนายใหญ่แห่งชาวบ้านเสนานิคมตำบลอุรุเวลาเมื่ออายุย่างเข้าสู่วัยสาวนางได้ทำพิธีบวงสรวงต่อเทพยดาที่สิงสถิตณต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งใกล้บ้านของนางโดยได้ตั้งปณิธานความปรารถนาไว้ 2 ประการคือ 1.ขอให้ข้าพเจ้าได้สามีที่มีบุญมีทรัพย์สมบัติและมีชาติสกุลเสมอกัน 2.ขอให้ข้าพเจ้ามีบุตรคนแรกเป็นชาย
เมื่อความปรารถนาสำเร็จสมบูรณ์ นางได้ทำพลีกรรมบวงสรวงสังเวยเทพยดาด้วยข้าวมธุปายาสในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6
นำท่านชมวิวริมสองฝั่ง แม่น้ำเนรัญชรา แม่น้ำสำคัญในพุทธประวัติชาวบ้านแถบนั้นเรียกว่า “ลิลาจัน” มาจากคำสันสกฤตว่า “ไนยรัญจนะ” แปลว่า แม่น้ำที่มีสีใสสะอาด แม่น้ำทั้งสายกว้างราว 1 กิโลเมตร ในสมัยพุทธกาลแม่น้ำเนรัญชราไหลผ่านแคว้นมคธณตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ซึ่งตั้งอยู่บนลุ่มแม่น้ำเนรัญชราอันเป็นภูมิสถานที่สงบน่ารื่นรมย์พระมหาบุรุษทรงเลือกที่แห่งนี้เป็นที่บำเพ็ญเพียรทรงประทับอยู่ณที่นี้นานถึง 6 ปีพระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาและเปลี่ยนมาทรงดำเนินในมัชฌิมาปฏิปทาจนได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิณริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราแห่งนี้
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ วัดไทยพุทธคยา เป็นวัดไทยแห่งแรกในประเทศอินเดียเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2500 มีเนื้อที่ราว 12 ไร่ตั้งอยู่บริเวณพุทธคยาอยู่ห่างจากองค์เจดีย์พุทธคยาประมาณ 500 เมตรเป็นวัดที่อยู่ในความดูแลและอุปถัมภ์ของรัฐบาลไทยพระอุโบสถของวัดไทยพุทธคยาจำลองแบบมาจากวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหารกรุงเทพมหานครซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมของสมัยรัตนโกสินทร์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งการจำลองแบบจนดูเหมือนนี้ไม่ใช่เฉพาะภายนอกแต่ยังมีภายในที่เหมือนกันด้วยเช่นองค์พระประธานที่เป็นพระพุทธชินราชแกลประตูแกลหน้าต่างเป็นต้น
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ มหาเจดีย์พุทธคยา หรือ พระมหาโพธิ์เจดีย์ คือ อนุสรณ์สถานแห่งการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีลักษณะเป็นเจดีย์สี่เหลี่ยมทรงสูงเป็นสถาปัตยกรรมและศิลปะแบบอินเดียสูงประมาณ 170 ฟุตแบ่งออกเป็น 2 ชั้น ชั้นแรกประดิษฐานพระพุทธเมตตาพระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะปาละเป็นพระพุทธรูปใหญ่หนึ่งเดียวในเจดีย์ที่ไม่ถูกทำลายจากกษัตริย์ชาวฮินดู ในสมัยที่มีการกวาดล้างพระพุทธศาสนาในอินเดีย ส่วนชั้นที่ 2 ประดิษฐานพระพุทธปฏิมาปางประทานพรบริเวณโดยรอบเจดีย์มีเจดีย์บริวารล้อมอยู่ทั้ง 4 ทิศเดิม เจดีย์พุทธคยาเป็นวิหารขนาดไม่ใหญ่นักต่อมาในปีพ.ศ.674 พระเจ้าหุวิชกะทรงบูรณะเพิ่มเติมให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม ในปัจจุบันเจดีย์พุทธคยาถือเป็นแลนด์มาร์คของกลุ่มพุทธสถานพุทธคยา
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ด้านหลังมหาเจดีย์ ท่านจะพบกับ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ คือ ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าประทับในช่วงเวลาตรัสรู้เป็นพันธุ์ไม้ที่เป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลต้นพระศรีมหาโพธิ์มีทั้งหมด 4 ต้น -ต้นแรก คือ ต้นที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ซึ่งตายลงในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช -ต้นที่สอง คือ ต้นที่แตกหน่อออกมาจากต้นแรกและได้ถูกทำลายลงในสมัยพระเจ้าสาสังการกษัตริย์ฮินดู -ต้นที่สาม คือ ต้นที่แตกหน่อออกมาจากต้นแรกและได้ตายลงเพราะขาดการบำรุงดูแลเนื่องจากเป็นช่วงพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดียเสื่อมโทรม -ต้นที่ 4 คือ ต้นศรีมหาโพธิ์ต้นปัจจุบันที่แตกหน่อมาจากต้นที่ 3 ได้รับการบำรุงดูแลหน่อโดยเซอร์คันนิงแฮมหัวหน้าคณะสำรวจพุทธศาสนสถานในช่วงที่อินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษปัจจุบันมีอายุ 138 ปี ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นที่ประดิษฐานของพระแท่นวัชรอาสน์พระแท่นที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างขึ้นเพื่อบูชาสถานที่บำเพ็ญเพียรของพระพุทธเจ้าตัวแท่นทำจากทองมีความยาว 7 ฟุตสลักเป็นรูปเพชรพญาหงส์และดอกมณฑารพสลับกันพระและพุทธศาสนิกชนนิยมไปสักการะสวดมนต์หรือนั่งทำสมาธิอยู่รอบๆบริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์และพระแท่นวัชรอาสน์แห่งนี้
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองเวสาลี คือ อาณาจักรหนึ่งของวัชชีหนึ่งใน 16 แคว้นของชมพูทวีป เรียกกันหลายชื่อว่า ไวสาลีไพสาลี หรือ เวสาลีเนื่องจากในครั้งนั้นกรุงเวสาวีเกิดฝนแห้งข้าวกล้าตายเพราะถูกแดดเผาคนยากจนอดตายศพเกลื่อนกลาดทั่วพระนคร อมนุษย์ได้กลิ่นซากศพก็พากันเข้ามาในพระนครผู้คนตายเพิ่มขึ้น เหล่าเจ้าลิจฉวีได้ยินมาว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลกพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ปวงสัตว์ทรงมีอานุภาพมากหากพระงค์ทรงเสด็จมาโปรดภัยทุกอย่างก็จักสงบไปจึงส่งเจ้าลิจฉวีชื่อมหาลิ ซึ่งเป้นผู้ทีพระเจ้าพิมพิสารโปรดปรานและอำมาตย์ผุ้หนึ่งเดินทางไปขอร้องพระเจ้าพิมพิสารให้กราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์เสด็จไปกรุงเวสาลีพระบรมศาสดาทรงพิจารณา หากได้ตรัสรัตนสูตรในกรุงเวสาลีนอกจากความเดือดร้อนจักสงบลงมหาชนชาววัชชีเมื่อได้ฟังพระสูตรนี้แล้ว จักได้บรรลุมมรรคผลจำนวนมาก จึงทรงรำคำกราบทูลเชิญของพวกเจ้าลิจฉวี
บ่าย
จากนั้นนำท่านเที่ยวชม วัดป่ามหาวันอาราม ที่กษัตริย์ลิจฉวีสร้างถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งอยู่ในป่ามหาวันทางเหนือของอาณาจักรวัชชีในป่าหิมาลัยและพระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในพรรษาที่ 5
ชม เสาอโศก ที่มีรูปสิงห์ อยู่ในลักษณะนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออกที่สมบูรณ์ที่สุด ปัจจุบันเหลือเพียงซากโบราณสถานที่ประกอบไปด้วยสังฆารามห้องพักห้องประชุม
นำท่านเดินทางสู่ เมืองกุสินารา เป็นที่ตั้งของสังเวชนียสถานแห่งที่ 4 ในสมัยพุทธกาลเป็นเมืองเอกหนึ่งในสองของแคว้นมัลละอยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำคู่กับเมืองปาวาเป็นที่ตั้งของสาลวโนทยานหรือป่าไม้สาละ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน และเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้า
วันที่ 3
มกุฎพันธนเจดีย์ - พระสถูปปรินิพพาน - เนปาล - ลุมพินี
เช้า
บริการอาหารเช้าณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านเดินทางสู่ มกุฏพันธนเจดีย์ ตั้งอยู่ห่างจากมหาปรินิพพานสถูปไปทางทิศตะวันออก 1 กิโลเมตรคนท้องถิ่นเรียกว่า “รามภาร์-กา-ดีลา” หรือ รัมภาร์สถูป เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า เดิมทีเป็นเชิงตะกอนไม้จันทร์หอมหลังจากที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ แล้วก็ได้สร้างพระสถูปครอบลง ต่อมาก็ได้ถูกรุกรานทำลายเหลือแต่ซากปรักหักพังภายหลังได้ถูกขุดค้นพบเป็นซากกองอิฐพระสถูปขนาดใหญ่ดังที่เห็นในปัจจุบัน พระสถูปนี้วัดโดยรอบฐานได้ 46.15 เมตร และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 37.18 เมตร ทั้งนี้ตามหลักฐานก็เป็นที่ชัดเจนว่านั่น คือ สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ หรือ มกุฏพันธนเจดีย์ตามที่ชาวพุทธเรียกชื่อกัน ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้เข้ามาบูรณะซ่อมแซมไว้อย่างดี
นำท่านเดินทางไปกราบสักการะ มหาปรินิพพานสถูป ซึ่งเป็นสถานที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ภายใต้ต้นสาละคู่เป็นพุทธสถาน ที่พระพุทธเจ้าประทานการบวชให้สาวกองค์สุดท้าย และยังเป็นที่ตรัสเทศนาปัจฉิมโอวาทสุดยอดแห่งพระธรรมคำสอน คือ ความไม่ประมาท
ชม มหาปรินิพพานสถูป ตั้งอยู่ด้านหลังของมหาปรินิพพานวิหาร เป็นสถูปแบบทรงโอคว่ำขนาดใหญ่ ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้สร้างและได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ เชื่อกันว่าเป็นที่บรรทมครั้งสุดท้าย และเป็นสถานที่พระพุทธองค์ปรินิพพาน ณ ใต้ต้นสาละคู่ ภายหลังได้สร้างสถูปครอบไว้ดังจะเห็นได้ในปัจจุบัน สถูปมีความสูง 6.10 เมตร เหนือระดับพื้นดินด้านบนของสถูปเป็นฉัตร 3 ชั้น
ชม มหาปรินิพพานวิหาร หรือ วิหารพุทธไสยาสน์ ตั้งอยู่ด้านหน้าบนฐานเดียวกันกับมหาปรินิพพานสถูป มีบันไดอิฐสูงขึ้นไปบนเนินภายในประดิษฐาน “พระพุทธรูปปางปรินิพพาน”อยู่บนพระแท่นทำด้วยหินทรายแดง หรือเรียกว่าจุ ณศิลา องค์พระพุทธรูปยาว 23 ฟุต 9 นิ้ว (ราว7เมตร) กว้าง 5 ฟุต 6 นิ้ว สูง 2 ฟุต 1 นิ้ว ศิลปะมถุรามีอายุมากกว่า 1,500 ปี ที่พระแท่นมีรูปสลักของสุภัททปริพาชกกำลังเข้าไปขอบวชและมีรูปสลักพระอนุรุทธะและพระอานนท์อยู่ด้วยพระพุทธรูปองค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ที่กำลังเสด็จดับขันธปรินิพพานประทับนอนบรรทมตะแคงขวา โดยหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก และมีซากศาสนสถานโบราณโดยรอบมากมาย ในจารึกระบุผู้จัดสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ คือ หริพละ สวามีนายช่างผู้แกะสลัก ชื่อ ธรรมทินนา เป็นชาวเมืองมถุรา ในปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ ถือได้ว่าเป็นจุดหมายสำคัญที่ชาวพุทธจะมาสักการะ เพราะเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะอันพิเศษ คือเหมือนคนนอนหลับธรรมดาแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานจากไปอย่างผู้หมดกังวลในโลกทั้งปวง
เที่ยง
บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารหรือ ห้องอาหารในโรงแรม
บ่าย
ออกเดินทางสู่ เมืองลุมพินีวัน (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 – 5 ชั่วโมง) ตั้งอยู่ในเขตประเทศเนปาลผ่านเมืองโครักข์ปูร์ และผ่านเมืองชายแดนโสเนาวลีของอินเดียเข้าสู่เมืองสิทธารัตถะของเนปาล เป็นสถานที่ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ
เดินทางถึง พรมแดนอินเดีย-เนปาล ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง
จากนั้นจึงเดินทางต่อเข้าสู่ เมืองสิทธารัตถะ
ค่ำ
บริการอาหารเย็น ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ที่พัก
Nansc Hotel ระดับ 3 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่ 4
สวนลุมพินีวัน - เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช - วิหารมายาเทวี - เมืองพาราณสี
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำทุกท่านเดินทางสู่ สวนลุมพินี วันเป็นพุทธสังเวชนียสถานที่สำคัญแห่งที่ 1 ใน 4 สังเวชนียสถานของชาวพุทธเป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งอยู่ที่อำเภอไภรวา แคว้นอูธ ประเทศเนปาล เป็นพุทธสังเวชนียสถาน 4 ตำบลเพียงแห่งเดียวที่อยู่นอกประเทศอินเดียลุมพินีวัน เดิมเป็นสวนป่าสาธารณะ หรือ วโนทยานที่ร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อน ในสมัยพุทธกาลลุมพินีวันตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะในแคว้นสักกะ บนฝั่งแม่น้ำโรหิณี หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วพระเจ้าอโศกมหาราชได้โปรดให้สร้างเสาหินขนาดใหญ่มาปักไว้ตรงบริเวณที่ประสูติเรียกว่า เสาอโศก ที่จารึกข้อความเป็นอักษรพราหมีว่า พระพุทธเจ้าประสูติที่ตรงนี้ ปัจจุบันลุมพินีวันได้รับการบูรณะและมีถาวรวัตถุสำคัญที่ชาวพุทธนิยมไปสักการะคือ "เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช" ที่ระบุว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ
นอกจากนี้ยังมี "วิหารมายาเทวี" ภายในประดิษฐานภาพหินแกะสลักพระรูปพระนางสิริมหามายาประสูติพระราชโอรส โดยเป็นวิหารเก่ามีอายุร่วมสมัยกับเสาหินพระเจ้าอโศก ปัจจุบันทางการเนปาลได้สร้างวิหารใหม่ทับวิหารมายาเทวีหลังเก่า และได้ขุดค้นพบศิลาจารึกรูปคล้ายรอยเท้า สันนิษฐานว่าเป็นจารึกรอยเท้าก้าวที่เจ็ดของเจ้าชายสิทธัตถะที่ทรงดำเนินได้เจ็ดก้าวในวันประสูติ
เที่ยง
บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร หรือ ห้องอาหารในโรงแรม
บ่าย
นำท่านเดินทางสู่ เมืองพาราณสี เป็นเมืองหลวงของแคว้นกาสี (Kingdom of Kashi) ในสมัยพุทธกาล ปัจจุบันตั้งอยู่ในรัฐอุตตรประเทศประเทศอินเดีย ห่างจากลัคเนาซึ่งเป็นเมืองหลวงของอุตตรประเทศเป็นระยะทาง 320 กิโลเมตร พาราณสีมีแม่น้ำคงคาไหลผ่านเป็นเมืองที่ศักดิสิทธิ์ที่สุดหนึ่งในเจ็ดเมืองศักดิสิทธิ์ (สัปดาปุริ, SaptaPuri) ในความเชื่อของศาสนาฮินดูและศาสนาเชนพาราณสีมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 4,000 ปี เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศอินเดียและยังจัดเป็นเมืองที่มีผู้อยู่อาศัยต่อเนื่องยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์โลกด้วย ถือว่าเป็นสุทธาวาสที่สถิตแห่งศิวเทพถือว่าเป็นเมืองอมตะของอินเดีย และเป็นที่แสวงบุญทั้งของชาวฮินดูและชาวพุทธทั่วโลกครั้งสมัยอาณานิคมเมืองนี้มีชื่อว่าเบนาเรส (Benares)
ค่ำ
บริการอาหารเย็น ณ ห้องอาหารของโรงแรม
ที่พัก
City Inn Hotel ระดับ 3 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่ 5
ล่องแม่น้ำคงคา - สารนาถ - ธัมเมกขสถูป(ป่าอิสิปตนมฤคทาวัน) - เจาคนธีสถูป - พิพิธภัณฑ์สารนาถ - เมืองคยา
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่าน ล่องเรือแม่น้ำคงคา ซึ่งชาวฮินดูเชื่อถือว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากมวยผมขององค์พระศิวะ (แม่น้ำนี้ไหลมาจากที่ราบสูงทิเบตเทือกเขาหิมาลัยประเทศจีนและเนปาล) ให้ทุกท่านได้ลอยกระทงแม่น้ำคงคา ชมพิธีบูชาไฟมหาศิวะราตรี และการเผาศพของชาวฮินดูที่สืบทอดกันมาอย่างช้านาน รวมทั้งเป็นสถานที่คนนับล้านมุ่งหน้ามา เพื่อชมพิธีกรรมริมฝั่งแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ (พิธีเผาศพริมแม่น้ำคงคาของศาสนาฮินดู)
นำท่านเดินทางสู่ เมืองสารนาถ
นำท่านสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิที่ ธัมเมกขสถูปป่าอิสิปตนมฤคทาวัน เป็นพุทธสังเวชนียสถานแห่งที่ 3 สถานที่แสดงปฐมเทศนาธรรมจักกัปปวัตนสูตร โปรดเบญจวัคคีย์ทั้งห้าในสมัยพุทธกาล เป็นสถานที่สงบและเป็นที่ชุมนุมของเหล่าฤษีนักบวชและนักพรตต่างๆที่มาบำเพ็ญตบะและโยคะเพื่อเข้าถึงพรหมัน (ตามความเชื่อของพรามหณ์) ทำให้ปัจจวัคคีย์ที่ปลีกตัวมาจากเจ้าชายสิทธัตถะมาบำเพ็ญตบะที่นี่
จากนั้นนำท่านชม เจาคันธีสถูป เป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ทรงพบกับปัญจวัคคีย์ ณ สถานที่แห่งนี้เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันแล้ว ปัญจวัคคีย์เมื่อเห็นพระพุทธองค์เสด็จมาแต่ไกลจึงทำสัญญากันว่าจะไม่ลุกรับจะไม่ต้อนรับ แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงต่างก็ลืมสัญญานั้น สิ้นสถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงพบปัญจวัคคีย์เมื่อเสด็จมาถึง ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในปัจจุบันอยู่ห่างจากสถานที่แสดงปฐมเทศนาไม่ไกลนัก ประมาณกิโลเมตรเศษมีการสร้างพระสถูปเป็นเครื่องระลึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ทรงพบกับปัญจวัคคีย์ เรียกว่า เจาคันธีสถูป สันนิษฐานกันว่าสร้างราวๆพุทธศักราช 1000 ช่วงราชวงศ์คุปตะ
นำท่านเดินทางสู่ พิพิธภัณฑ์เมืองสารนาถ มีพระพุทธรูปโบราณ ซึ่งน่าทึ่งและงดงามตามแบบฉบับของคนอินเดีย อายุนับพันปี ภายในต้องใช้เทคนิคพิเศษจึงมีรูปมาให้ชมกันไม่มากพอดูเป็นสังเขปอย่างพระพุทธรูปปางปฐมเทศนา (รูปพระพุทธองค์แรก) เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในสมัยคุปตะอายุประมาณปี พ.ศ. 800 - 1,200 ซึ่งยุคนั้นนับว่าเป็นยุคที่มีความเจริญสูงสุดของพุทธศิลป์ พระพุทธรูปองค์นี้ ถูกค้นพบที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ถือกันว่าเป็นพุทธปฏิมาที่งดงามมาก แต่ก่อนที่อินเดียมีการประกวดพุทธปฏิมากันหากส่งพระพุทธรูปองค์นี้เข้าประกวดจะได้รับการคัดเลือกว่าเป็นพุทธรูปที่งดงามที่สุดทุกครั้งไป จึงต้องขอให้งดการส่งเข้าประกวดเปิดโอกาสให้องค์อื่นบ้าง จึงนับว่าพระพุทธรูปองค์นี้น่าจะเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามที่สุดในโลกองค์หนึ่งก็ว่าได้
เที่ยง
บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร หรือ ห้องอาหารในโรงแรม
บ่าย
ออกเดินทางสู่ เมืองคยา (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง) ให้ทุกท่านพักผ่อนตามอัธยาศัย
ค่ำ
บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
ที่พัก
Bhodhagaya Regency Hotel ระดับ 3 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่ 6
สนามบินคยา - สนามบินดอนเมือง
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
08.00 น.
นำท่านเดินทางออกจากโรงแรมที่พัก ทำการเช็คเอ้าท์ ออกเดินทางสู่ สนามบินคยา
10.40 น.
ออกเดินทางบินลัดฟ้ากลับสู่ ประเทศไทย โดยสายการบิน Air Asia เที่ยวบินที่ FD123 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที (**ไม่มีบริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง)
14.50 น.
เดินทางถึง สนามบินดอนเมือง ประเทศไทย โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ